xs
xsm
sm
md
lg

จริงหรือหลอก? Facebook ทำร้ายสมอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นอกจากทำลายสมอง วันนี้เครือข่ายสังคมยักษ์ใหญ่ “เฟซบุ๊ก” (Facebook) ถูกโจมตีว่า ผู้ใช้อาจได้รับผลกระทบรอบด้านชนิดที่หลายคนนึกไม่ถึง ข้อมูลเหล่านี้ทยอยออกจากปากอดีตผู้บริหารที่เคยคลุกคลีกับ Facebook ในระยะแรก แน่นอนว่า เราผู้ใช้ไม่ควรปล่อยให้ “คนกลุ่มเดียว” มาเป็นผู้ตัดสินว่า เทคโนโลยีโซเชียลปลอดภัยกับสังคมหรือไม่ ในวันที่ Facebook ก้ำกึ่งเหลือเกินระหว่างความดี และเลว ชัดเจนอยู่เรื่องเดียว คือ อิทธิพลที่ครอบคลุมคนทั้งโลก

เบื้องต้น แพทย์ด้านระบบประสาทของประเทศไทยให้ความเห็นส่วนตัวว่า สมองของคนยุคดิจิทัลที่ถูกกระตุ้นโดย Facebook ทุกวันนี้ไม่ต่างอะไรจากการกระตุ้นที่เกิดจากสื่อในอดีต การรับข้อมูลผ่านตาแล้วแสดงออกทางมือนั้น เป็นเรื่องปกติของคนทุกยุคสมัย ซึ่งผลกระทบกับสมองจะเกิดขึ้นแน่นอน หากคนผู้นั้นใช้งานเฉพาะ Facebook ตลอดเวลาอย่างเดียวเท่านั้น

***ดีหรือร้าย?

17 ธันวาคม 2017 เจ้าพ่อ Facebook ออกแถลงการณ์ยอมรับว่า การใช้งานเครือข่ายสังคมอาจทำให้ผู้ใช้บางกลุ่มรู้สึกแย่ทั้งในแง่สุขภาพกาย และสุขภาพจิต โดยเผยแพร่งานวิจัยแนะนำการใช้เครือข่ายสังคมให้เกิดผลดีที่สุด

Facebook อ้างผลงานวิจัยที่จัดทำเองว่า ความรู้สึกแย่ของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์มักเกิดขึ้นจากการอ่านอย่างเดียว ไม่ตอบโต้กับผู้คนเลย การยอมรับอย่างกล้าหาญเช่นนี้ทำให้สื่อต่างประเทศวิจารณ์ว่า เหตุผลที่ทำให้ Facebook ยอมรับ คือ เพราะ Facebook กำลังพยายามเดินบนทางคู่ขนานระหว่างการทำความดีให้สังคม ไปพร้อมกับสร้างธุรกิจโฆษณาให้ยิ่งใหญ่ได้ต่อไป

สิ่งที่ทำให้ Facebook ถูกวิจารณ์เช่นนี้ เพราะกระแสโจมตี Facebook ที่นักวิจัยหลายคนพยายามจุดประกายให้ชาวโลกตระหนักว่า การใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างผิดวิธี อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่ดี ทั้งอารมณ์อิจฉา หรืออารมณ์ซึมเศร้าที่อาจเพิ่มขึ้น การโจมตีนี้หนักหน่วงยิ่งขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่เห็นชัดที่สุด คือ ฌอน ปาร์กเกอร์ (Sean Parker) ผู้ก่อตั้งบริการแชร์เพลงออนไลน์อย่างแนปสเตอร์ (Napster) และอดีตประธานกรรมการบริษัทคนแรกของ Facebook ที่ออกมาบอกว่า ตัวเขาเป็น “ผู้ต่อต้านเครือข่ายสังคม” ซึ่งไม่ได้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์อีกต่อไป เพราะเครือข่ายสังคมเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอในจิตของมนุษย์

ฌอน มองว่า Facebook ประสบความสำเร็จบนการใช้ประโยชน์จากความเปราะบางในจิตใจคน ผ่านวงจรที่ทำให้คนอยากโพสต์เพื่อให้ได้รับยอดไลก์ และความเห็น จุดนี้ ฌอน เทียบว่า การใช้ Facebook ไม่ต่างกับการรับประทานอาหารขยะไร้ประโยชน์ เพราะทุกคนจะได้ความพึงพอใจทันทีเมื่อโพสต์เพื่อยอดไลก์ และความเห็น เรียกว่า กระชุ่มกระชวยได้เร็ว และง่าย แต่ไม่มีประโยชน์ โดยถล่มซ้ำอีกว่า “มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่า สื่อโซเชียลทำอะไรกับสมองของเยาวชน”

นอกจากฌอน ยังมีชามัท พาลีหปิติยา (Chamath Palihapitiya) อดีตผู้บริหาร Facebook ที่นั่งเก้าอี้ดูแลการเติบโตของผู้ใช้ Facebook ช่วงปี 2005 ถึงปี 2011 ร่วมด้วยโรเจอร์ แมกนามี (Roger McNamee) นักลงทุน Facebook ยุคแรก และเจรอน ลาเนียร์ (Jaron Lanier) นักเทคโนโลยีที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าตัวพ่อของวงการวีอาร์ (virtual reality) เสมือนจริง

Palihapitiya ที่ปัจจุบันเป็นซีอีโอบริษัทลงทุนชื่อโซเชียลพลัสแคปปิตอล (Social + Capital) มุ่งให้ทุนสนับสนุนบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ และการศึกษา เรียกการโต้ตอบบนโลกโซเชียลว่าเป็น “วงจรการตอบสนองที่มีโดพามีนเป็นแรงผลักดัน” ทำนองว่า การไลก์ Like หรือการออกความเห็นบนโซเชียลนั้น เป็นความคิดเห็นแบบสั้นที่ออกแบบมาให้เข้ากับสาร dopamine ในสมองมนุษย์ ทำให้สามารถผลักดันให้โซเชียลมีเดียเป็นที่นิยมมากขึ้นจน “ทำลายกระบวนการทางสังคม”

ทั้งหมดนี้ทำให้ Palihapitiya บอกว่า รู้สึกผิดอย่างมากที่เข้าไปมีส่วนทำให้ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น พร้อมกับไม่ลืมที่จะแนะนำให้ผู้ร่วมงานเสวนาที่สถาบันชื่อดัง “สแตนฟอร์ด บิสเนส สกูล” พักตัวเองจากสื่อสังคมออนไลน์อย่างจริงจัง

ด้าน McNamee นักลงทุนรายนี้ให้ความเห็นว่า ไม่เพียง Facebook แต่กูเกิล (Google) ยังปลูกฝัง “พฤติกรรมเสพติด” ในผู้ใช้ของตัวเอง ขณะที่ Lanier ซึ่งเป็นขาประจำผู้วิพากษ์วิจารณ์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีมานาน กล่าวว่า สื่อโซเชียล ออนไลน์ จะเร่งให้เกิดความขัดแย้ง และความเกลียดชัง ตราบใดที่สื่อโซเชียลยังต้องหารายได้ด้วยการดึงคนเข้าไปใช้งาน

***รายใหญ่สุด ผิดมากสุด?

การวิจารณ์ของทุกคนไม่ได้หมายถึง Facebook เท่านั้น แต่หมายความรวมถึงระบบนิเวศบริการที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ทั้งหมด ตั้งแต่ทวิตเตอร์ (Twitter), สแนปแชต (Snapchat) และพินเทอเรสต์ (Pinterest) เพียงแต่อิทธิพลที่สูงที่สุดทำให้ Facebook มองว่ามีความผิดติดตัวมากที่สุด เพราะทำให้โลกเห็นการไม่ก่อเกิดการแลกเปลี่ยนความเห็น ไม่ร่วมมือกัน ข้อมูลผิด และลดทอนความจริงบน Facebook ได้ชัดที่สุดเมื่อเทียบกับเครือข่ายอื่น

เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากคำพูดของ Palihapitiya ที่เหมาหมดว่า ระบบฟีดแบ็ก หรือระบบแสดงความรู้สึกที่สร้างขึ้นมาบนโซเชียล ทั้งการแสดงออกด้วยการให้หัวใจ กดไลก์ หรือยกนิ้วหัวแม่มือ ล้วนทำลายการทำงานของสังคม

อย่างไรก็ตาม Facebook เป็นรายเดียวที่ออกมาให้ความเห็น โดยโฆษก Facebook ออกมาแก้ต่างกรณีของ Palihapitiya ว่า ผู้บริหารรายนี้นั่งเก้าอี้ใน Facebook ตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว สถานะ และจุดมุ่งหมายของ Facebook ในวันนี้ไม่เหมือนเดิม และบริษัทพยายามหาสมดุลย์ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับผลดีที่สุด

สิ่งที่ Facebook ไม่ได้ชี้แจง คือ ผลกระทบกับสมอง ซึ่งมีนักวิจัยตั้งสมมติฐานว่า สมองของผู้ใช้ Facebook นั้น ไม่ต่างจากสมองของคนที่ติดน้ำตาล และเป็นรูปแบบสมองเดียวกับคนที่ติดโคเคน

นอกจากน้ำตาลที่เคยถูกมองเป็นสารเสพติดอย่างหนึ่ง ยังมี “เกลือ” ที่มีผลต่อสมองเหมือนยาเสพติดที่ทำให้คนติดรสเค็ม เช่นเดียวกับความรัก ที่นักวิจัยบางรายมองว่า สารกระตุ้นความอยากตัวเดียวกันในเซลล์สมอง เกิดความเชื่อมโยงกับ “โดพามีน” (Dopamine) หนึ่งในสารสื่อประสาทที่อดีตผู้บริหาร Facebook กล่าวถึง

เรื่องนี้สอดคล้องกับงานวิจัยชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ศาสตราจารย์โอเฟอร์ ทูเรล (Ofir Turel) สรุปผลหลังจากสังเกตการทำงานของสมองของอาสาสมัครที่เข้าร่วมทดลองจำนวน 20 คน พบว่า การทำงานของสมองของกลุ่มตัวอย่างนั้น คล้ายกับสมองของผู้เสพสารเสพติดระดับอ่อน แม้กลุ่มตัวอย่างจะสามารถควบคุมพฤติกรรมตัวเอง แต่ก็ไม่มีแรงจูงใจพอที่จะควบคุม เพราะทุกคนไม่คิดว่า ผลจากการติดนั้นจะรุนแรง และมีผลต่อชีวิต

***แพทย์ไทยมอง 2 ด้าน

เรื่องนี้อาจารย์นายแพทย์สุวัฒน์ ศรีสุวรรณานุกร หัวหน้าสาขาประสาทวิทยา คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ให้ความเห็นที่ต่างออกไป โดยบอกว่า Dopamine เป็นสารสื่อประสาทที่จำเป็น และการใช้งานเครือข่ายสังคมนั้น เป็นไปตามยุคสมัย ภาวะทำร้ายสมองไม่น่าเกี่ยวกับสื่อโซเชียล และสมาร์ทโฟน

“สมองต้องมีข้อมูลผ่านให้มีการใช้งานอยู่ตลอด จะได้ไม่เสื่อม การอ่าน และชมสื่อโซเชียล มีด้านดีอยู่ ไม่ได้มีข้อเสียอย่างเดียว ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นไปตามยุค คนเรามีหน้าที่ปรับตัวให้สมดุล ส่วนสมองก็ต้องทำหน้าที่ต่อสิ่งกระตุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป”

ในภาพรวม อาจารย์นายแพทย์สุวัฒน์ มองว่า การที่มนุษย์รับข้อมูลผ่านสายตา แล้วแสดงออกทางมืออยู่ตลอดเวลานั้น ยังมีส่วนดีมากกว่าการไม่มีอะไรมากระตุ้นเลย โดย Dopamine เป็นสารที่ต้องหลั่ง ต้องมีอยู่แล้วในสมอง

“สมัยก่อน เราไม่มีสื่อโซเชียล แต่ก็มีตัวกระตุ้นอื่นอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้น ผมคิดว่า การกระตุ้นที่เกิดขึ้นในยุคสมัยไหนก็ไม่ต่างกัน ดังนั้น ในเบื้องต้น โซเชียลมีเดียไม่ได้ทำลายสมองโดยตรง ยกเว้นแต่การไม่มีปฏิสัมพันธ์อื่นเลย ใช้แต่โซเชียลอย่างเดียวเท่านั้น”

คำสรุปนี้ตรงกับสิ่งที่ Facebook พยายามอ้างว่า ผู้ใช้ที่ “อ่านอย่างเดียว ไม่ตอบโต้กับผู้คน” เท่านั้น ที่จะรู้สึกแย่ เนื่องจากงานวิจัยที่ Facebook ดำเนินการเองพบว่า การเลื่อนฟีดข่าวเพื่อดูข้อมูลไปเรื่อย ๆ (อย่างไม่มีจุหมาย) เป็นเรื่องไม่ดี แต่การเลื่อนดูฟีดข่าว และการคลิกไลก์ รวมถึงการออกความคิดเห็นที่เจาะจง ล้วนเป็น “สิ่งที่ดี” ที่ทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่มีความรู้สึกดีขึ้น

ไม่แน่ สิ่งที่เราต้องกังวลบน Facebook อาจไม่ใช่เรื่องสมอง หรือสุขภาพ แต่เป็นเรื่องภัยล่อลวงทั้งสินค้าปลอม ข่าวปลอม คำพูดปลอม และเรื่องอื่นที่อาจนำความเสียหายมาให้ผู้ใช้ Facebook ที่ไม่รู้เท่าทัน ซึ่ง Facebook ก็พยายามการันตีว่าจะเร่งลดความถี่ในการแสดงเนื้อหาเหล่านี้ลงให้มากที่สุด

ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ทุกคนใช้ Facebook ต่อไปแต่โดยดี.
โฆษณาสินค้าปลอม ที่ชาว Facebook ต้องระวัง
อีกตัวอย่างโฆษณาปลอมที่ผู้ใช้ Facebook อาจตกเป็นเหยื่อ
กำลังโหลดความคิดเห็น