สิ่งที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญเคยบอกเอาไว้เกี่ยวกับเป้าหมายของนักพัฒนาหุ่นยนต์ที่ว่าต้องการให้หุ่นยนต์เข้ามาแทนที่งานน่าเบื่อ สกปรก หรืออาจเสี่ยงอันตรายนั้น เมื่อมาสู่โลกทุนนิยม มันอาจเริ่มถูกบิดออกไปนิด ๆ หน่อย ๆ แล้ว เมื่อวอลมาร์ท (Walmart) ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ได้เริ่มนำหุ่นยนต์ที่สามารถตรวจนับสินค้าได้ โดยการสแกนชั้นวางสินค้าเข้ามาใช้งาน ตั้งเป้ากระจายไปใน 50 สาขาทั่วสหรัฐอเมริกา
ถามว่าการตรวจนับสินค้าถูกจัดเป็นงานที่สกปรกหรืออันตรายหรือไม่ คำตอบคงไม่ใช่ แต่ถ้าถามว่าเป็นงานที่น่าเบื่อไหมนั้น บางทีอาจยากที่จะตอบได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร หุ่นยนต์ตัวใหญ่ตัวนี้ก็จะเริ่มออกทำงานแล้ว ซึ่งหน้าที่หลักของมัน คือ การตรวจสอบว่า สินค้าชนิดใดหมดแล้วต้องเติมสินค้าใหม่ลงมา, ไปจนถึงว่าสินค้าถูกวางอยู่ตรงกับตำแหน่งของมันหรือไม่ และสามารถตรวจสอบได้ว่า สินค้าชนิดใดติดป้ายราคาไม่ตรงกับที่ฐานข้อมูลกำหนดไว้ได้ด้วย จากนั้น มันจะส่งข้อมูลดังกล่าวไปให้พนักงานมนุษย์เข้ามาแก้ไขให้เรียบร้อย
ด้านผู้บริหารของวอลมาร์ท ฝ่ายเทคโนโลยีอย่าง เจเรมี คิง (Jeremy King) กล่าวว่า บริษัทไม่มีแผนจะนำหุ่นยนต์เข้ามาทดแทนพนักงานมนุษย์แต่อย่างใด แต่เป็นการนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยงานพนักงานมนุษย์มากกว่า เนื่องจากการตรวจสอบด้วยการสแกนโดยหุ่นยนต์นั้นมีความแม่นยำมากกว่า และสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ขณะที่พนักงานมนุษย์นั้นจะมีภาระงานอื่น ๆ อีกมาก และที่ผ่านมา พวกเขาจะมีโอกาสตรวจเช็กสินค้าเพียงสัปดาห์ละสองครั้งเท่านั้น
“วอลมาร์ท มองว่า ปัญหาสินค้าหมดจากชั้นวางสินค้าเป็นจุดอ่อนสำหรับธุรกิจค้าปลีก เพราะด้วยพนักงานที่มี พวกเขาจะไม่สามารถตรวจสอบได้รวดเร็วทันใจนัก ด้วยเหตุนี้จึงมองว่า การนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังสแกนชั้นวางสินค้าได้เร็วกว่ามนุษย์ถึง 3 เท่าด้วย” เจเรมี กล่าว
หุ่นยนต์ของวอลมาร์ทนี้ คาดว่จะเริ่มนำไปใช้งานในสาขาที่แคลิฟอร์เนีย อาร์คันซัส และเพนซิลวาเนียก่อนเป็นลำดับแรก
แนวคิดในการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในธุรกิจค้าปลีกไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะแอมะซอน (Amazon) ก็ใช้หุ่นยนต์ Kiva ในโกดังสินค้า เพื่อจัดการกับการจัดส่งและแพกสินค้า ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัทได้มากถึง 20 เปอร์เซ็นต์
แต่สำหรับวอลมาร์ท การก้าวครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เพื่อให้การบริการของตนเองนั้นรวดเร็วยิ่งขึ้นนั่นเอง ซึ่งการนำหุ่นยนต์มาใช้อาจไม่มีการปลดพนักงานมนุษย์ออกก็จริง แต่ก็เชื่อว่าจะมีผลต่อการรับพนักงานใหม่เข้าในองค์กรด้วยเช่นกัน