มีรายงานว่า บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง แอมะซอน (Amazon) ใกล้จะเปิดตัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับสวมใส่ตัวแรกของทางค่ายแล้ว โดยอาจมีการผนวกความสามารถของผู้ช่วยดิจิตอลอย่าง อเล็กซ่า (Alexa) ลงไปด้วยเพื่อให้สามารถบริการผู้ใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลานั่นเอง
โดยอุปกรณ์ที่แอมะซอนพัฒนาอยู่นี้คาดว่าจะเป็นแว่นตาอัจฉริยะ สำหรับเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการทำงานคล้ายกับแว่นสเปคทาเคิลส์ (Spectacles) ของค่ายสแนปแชท (Snapchat) แต่ความพิเศษคือมีระบบสื่อนำเสียงผ่านกระดูก ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถได้ยินเสียงของผู้ช่วยดิจิตอล Alexa ได้โดยไม่ต้องสวมเฮดโฟนแต่อย่างใด
ความมุ่งมั่นในการพัฒนาของแอมะซอนนั้นเห็นได้จากการที่แอมะซอนมีการดึงตัว บาบาก พาร์วิซ (Babak Parviz) ผู้อำนวยการ Google X และผู้สร้างกูเกิลกลาส (Google Glass) เข้ามาในทีมเมื่อปี 2014 ซึ่งปัจจุบันเขาเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับโปรเจ็คแว่นอัจฉริยะของแอมะซอนมากที่สุดคนหนึ่ง และหากไปค้นโปรไฟล์ใน LinkedIn จะพบว่ายังมีนักวิจัย วิศวกร และนักออกแบบอีกมากมายที่ทยอยเข้ามารวมตัวในแล็ปของแอมะซอนมากขึ้นทุกที
หากมองในแง่ดีจะพบว่า การเปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะนั้นก็น่าสนใจสำหรับแอมะซอนพอดู เนื่องจากมีโลกของเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) รออยู่ และบริษัทคู่แข่งของแอมะซอนอย่างแอปเปิล (Apple) เฟซบุ๊ก (Facebook) ฯลฯ ต่างก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับสร้างคอนเทนต์ต่าง ๆ บนโลกของ AR ด้วยเช่นกัน ซึ่งหากแอมะซอนลงมาด้วยก็จะทำให้ตลาดคึกคักขึ้นและอาจได้เห็นการพัฒนาโปรดักซ์ใหม่ ๆ ออกมาอีกมาก
แต่ถ้ามองในแง่ร้าย ก็อาจต้องยกกรณีของกูเกิลกลาสขึ้นมาย้ำเตือน โดยกูเกิล (Google) เปิดชื่อแว่นกูเกิลกลาสในปี 2013 ก่อนจะปิดตัวลงในปี 2015 อย่างน่าเสียดาย เนื่องจากมีข้อท้วงติงเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานดังขึ้น อย่างต่อเนื่อง แต่ล่าสุดในปีนี้ ก็มีรายงานว่า กูเกิลกลาสกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ในรุ่น Enterprise Edition สำหรับรองรับการใช้งานในองค์กรแล้วเป็นที่เรียบร้อย
"กล้องรักษาความปลอดภัย" อีกหนึ่งโปรดักซ์แข่งเดือด
นอกจากนั้น แหล่งข่าวใกล้ชิดของแอมะซอนยังเผยด้วยว่า บริษัทมีแผนจะขยายโปรดักซ์ไลน์ของสินค้าหมวดบ้านอัจฉริยะออกไปด้วยการเปิดตัวระบบกล้องรักษาความปลอดภัยภายในบ้านตัวใหม่ ที่ทำงานร่วมกับลำโพงอัจฉริยะอย่าง เอ็คโค่ (Echo) ได้ ซึ่งถ้าหากบ้านใดซื้อ Echo Show ลำโพงอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่มาพร้อมหน้าจอดิจิตอล ก็จะได้พบประสบการณ์การใช้งานแบบใหม่ เช่น ปรากฏภาพของพนักงานส่งสินค้าขณะมายืนรอหน้าบ้านได้จาก Echo Show กันเลยทีเดียว
โดยมีความเป็นไปได้ว่า ทั้งสองโปรดักซ์นี้จะเปิดตัวก่อนสิ้นปี รวมถึงอาจมีการอัปเดตผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Echo ครั้งใหญ่ด้วย
แต่ทั้งหมดนี้ อาจเป็นการทำเพื่อจุดประสงค์เดียว นั่นคือ การทำให้ผู้ช่วยดิจิตอล Alexa ขยายขอบเขตการใช้งานออกไปให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยปัจจุบัน มีรายงานจาก CNBC ระบุว่า แอมะซอนสามารถขายลำโพงอัจฉริยะ Echo ได้แล้วกว่า 10 ล้านตัวทั่วโลก และทำให้ผู้ช่วยดิจิตอลอย่าง Alexa เป็นเครื่องมือที่คุ้นเคยในกลุ่มผู้ใช้ระดับครัวเรือน แต่แอมะซอนตั้งความหวังกับ Alexa เอาไว้สูงมากกว่านั้น เพราะ 10 ล้านเครื่องอาจยังเทียบไม่ได้กับผู้ช่วยดิจิตอลจากค่ายคู่แข่งอย่าง Siri หรือ Google Assistant ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่า เพราะมีอยู่ในสมาร์ทโฟนทั่วโลก
ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นความล้มเหลวของแอมะซอนเองที่ไม่สามารถพัฒนาให้ไฟร์โฟน (Fire Phone) เติบโตได้อย่างใจคิด โดย Fire Phone ในปัจจุบันไม่มีจำหน่ายแล้วบนเว็บไซต์ของแอมะซอน
การออกโปรดักซ์ใหม่ในกลุ่มคอนซูเมอร์แล้วผนวกความสามารถของผู้ช่วยดิจิตอลอย่าง Alexa ลงไปจึงอาจเป็นอีกหนึ่งหนทางที่ช่วยให้ Alexa มีการใช้งานกว้างมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่า ระบบกล้องรักษาความปลอดภัยที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้นั้น เป็นสิ่งที่คู่แข่งของแอมะซอนหลายบริษัทกำลังผลิตขึ้นมาขายในท้องตลาด ยกตัวอย่างเช่นค่ายเนสท์ (Nest) จากอัลฟาเบ็ท (Alphabet) หรือสตาร์ทอัปอย่างบริษัทริง (Ring), ออกัส (August) และไลท์เฮาส์ (Lighthouse) ซึ่งเป็นไปได้ว่า มันจะกลายเป็นสินค้าที่แข่งกันอย่างดุเดือดในอีกไม่นานนี้
ส่วนแว่นตาอัจฉริยะนั้นอาจตรงกันข้าม เพราะถูกมองว่าเป็นหมวดหมู่ที่มีความเสี่ยงสูงมากทีเดียว แต่แอมะซอนดูแล้วน่าจะไม่มีทางเลือกอื่นมากนัก นอกจากลงมาเล่นในตลาดดังกล่าว เนื่องจาก Siri คู่แข่งของ Alexa สามารถถูกเรียกขึ้นมาใช้งานเมื่อใดก็ได้ขอเพียงมีไอโฟน (iPhone) ขณะที่ Google Assistant ผู้ช่วยดิจิตอลจากกูเกิลเอง ก็อยู่ในแอนดรอยด์โฟนทั่วโลกและเรียกออกมาใช้งานได้ง่าย ๆ เพียงแต่พูดคำว่า OK Google
ส่วนการเรียกใช้ Alexa นั้น กลับมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่ปลดล็อกมือถือ และเปิดแอปพลิเคชันขึ้นมา ดังนั้น การเปิดตัวแว่นอัจฉริยะ หรือกล้องรักษาความปลอดภัยที่มาพร้อม Alexa จึงอาจเป็นความหวังหนึ่งของแอมะซอนในการเข้าถึงผู้บริโภคในจำนวนที่มากขึ้นได้นั่นเอง
