เฟซบุ๊ก เร่งยอดผู้ใช้งาน Workplace โซเชียลมีเดียสำหรับใช้งานภายในองค์กร เปิดให้ทดลองใช้งานแบบพรีเมียมฟรีถึงสิ้นเดือนกันยายน 60 แนะองค์กรต้องปรับตัวรับพนักงานรุ่นใหม่ เพื่อลดช่องว่างในการสื่อสาร
ราเมช โกปาลกฤษณะ (คนขวา) หัวหน้าฝ่าย เวิร์คเพลส บาย เฟซบุ๊ก เอเชียแปซิฟิก ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน กลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงานทั่วโลกมีอยู่กว่า 3 พันล้านคน ประกอบกับเทรนด์ของการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบดิจิตอลมากยิ่งขึ้น ทำให้องค์กรธุรกิจต้องมีการปรับตัว เพื่อรับกับการติดต่อสื่อสารรูปแบบใหม่
“ที่ผ่านมา ตัวเลขบริษัทที่หายจาก 1 ใน 50 ของการจัดอันดับฟอร์จูน ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เห็นว่า ถ้าองค์กรไม่มีการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิตอลก็จะเกิดการล้มหายตายจากไป และยิ่งสะท้อนให้องค์กรธุรกิจรุ่นใหม่ต้องปรับตัวให้เร็วขึ้น”
เนื่องจากปัจจุบัน โลกของธุรกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น สิ่งที่เป็นนวัตกรรมในวันนี้อาจจะล้าสมัยภายในเช้าวันรุ่งขึ้น ประกอบกับภายในปี 2020 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า กลุ่มคนวัยทำงาน กว่า 50% จะมาจากกลุ่มคนที่เกิดในยุคมิลเลเนียม ที่เติบโตมากับสมาร์ทโฟน และรูปแบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือ
“ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในองค์กรธุรกิจที่มีกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน คือ เรื่องของช่องว่างในการติดต่อสื่อสารระหว่างวัย ซึ่งเฟซบุ๊ก เห็นถึงช่องว่างดังกล่าวจากวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้พลังแก่ผู้คนในการแบ่งปัน และเปิดโลกในการเชื่อมโยงผู้คน เรื่องราว เพื่อสร้างผลลัพธ์ในเชิงบวก มาเป็นจุดในการขับเคลื่อนองค์กร”
โดยภายในเฟซบุ๊ก ก็เคยประสบปัญหาดังกล่าวในการติดต่อสื่อสารเช่นเดียวกันตั้งแต่ปี 2011 ที่ผ่านมา จึงได้มีการคิดค้นรูปแบบการใช้งาน Group มาไว้ใช้สื่อสารภายในองค์กร และเห็นถึงทิศทางที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงได้เริ่มหันมาพัฒนาบริการสำหรับองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ
หลังจากนั้น ในปี 2014 เฟซบุ๊กจึงได้เริ่มพัฒนา Facebook at Work และเริ่มทดลองให้บริการในปี 2015 ก่อนเปลี่ยนชื่อมาเป็น เวิร์คเพลส บาย เฟซบุ๊ก (Workplace by Facebook) ในปี 2016 และเริ่มให้บริการมาจนถึงปัจจุบัน
โดยข้อมูลล่าสุดของ Workplace คือ มีองค์กรธุรกิจทั่วโลกกว่า 14,000 รายเข้ามาใช้บริการ และมีการสร้างกลุ่ม (Groups) มากกว่า 4 แสนกลุ่ม เพื่อต่อยอดการทำงานภายในองค์กร ซึ่งประโยชน์หลักที่เกิดขึ้น คือ ลดปริมาณการติดต่อสื่อสารผ่านอีเมล รวมถึงการติดต่อกับพนักงานได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
สำหรับในประเทศไทย อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ อโกด้า รวมถึงแฟมิลี่ มาร์ท ในเครือเซ็นทรัล นำไปใช้งานเพื่อติดต่อสื่อสารกับพนักงานภายในองค์กร โดยผลลัพธ์ที่ได้ คือ พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการได้พูดคุยกัน ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงาน รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่าย เวลาในการติดต่อสื่อสาร และการเดินทางได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ทำให้เกิดปัญหาบ้างในช่วงแรกพนักงานจะคิดว่า มีรูปแบบการใช้งานเหมือนเฟซบุ๊กปกติ ทำให้มีพนักงานบางส่วนนำเรื่องส่วนตัวมาเผยแพร่ ซึ่งแต่ละบริษัทก็จะมีวิธีการออกคำแนะนำในการใช้งานแก่พนักงาน เพื่อให้ทราบว่า ในการใช้งาน Workplace จะเน้นไปที่การทำงานเป็นหลัก
ราเมช ให้ข้อมูลต่อว่า Workplace จะมีการแยกบัญชีผู้ใช้กับเฟซบุ๊กส่วนตัวอย่างชัดเจน เพียงแต่จะมีรูปแบบการใช้งานคล้ายกับเฟซบุ๊ก ทำให้พนักงานไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการใช้งานใหม่ และกลายเป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้โซเชียลมีเดียสำหรับองค์กรประสบความสำเร็จในการใช้งานได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊กก็จะมีการนำความคิดเห็นของผู้ใช้มาปรับปรุง และประยุกต์ให้เข้ากับรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น โดยที่ผ่านมา Workplace มีการเพิ่มฟีเจอร์ในการใช้งานใหม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่องในแต่ละสัปดาห์ และอนาคตก็จะทำงานร่วมกับพันธมิตรมากขึ้น
“ตอนนี้ใน Workplace สามารถทำงานร่วมกับ Microsoft OneDrive และ Box ซึ่งเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ โปรแกรมเอกสาร Office 365 ระบบบริหารจัดการจาก SaleForce และ Quip ได้แล้ว และอนาคตก็จะมีการเพิ่มพันธมิตรรายอื่น ๆ เข้ามา รวมถึงระบบแชตบอตด้วย”
ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจที่ต้องการใช้งาน Workplace สามารถเข้าไปสมัครใช้งานผ่านหน้าเว็บไซต์ได้ทันที โดยมีให้เลือกทั้งแบบใช้งานฟรี (Standard) และมีค่าใช้จ่าย (Premium) ที่จะคิดเป็นรูปแบบตามจำนวนบัญชีผู้ใช้ ซึ่งปัจจุบันเปิดให้ทดลองใช้งานได้ฟรีถึงสิ้นเดือนกันยายน 2560
ส่วนค่าใช้จ่ายในการใช้งานหลังจากหมดช่วงทดลอง จะเริ่มต้นที่ 3 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 100 บาท) ต่อ 1 บัญชีผู้ใช้ในช่วงพนักงาน 1,000 คนแรก เกินจาก 1,001-10,000 คนคิดบัญชีละ 2 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 68 บาท) ส่วนที่เกินจาก 10,001 คน คิดเพิ่มบัญชีละ 1 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 33 บาท)
อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจ คือ เรื่องระบบรักษาความปลอดภัย ตามปกติแล้ว เฟซบุ๊กจะมีการเข้ารหัสในการใช้งานหน้าเว็บไซต์อยู่แล้ว ซึ่ง Workplace ก็จะมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่จะมายืนยันถึงความปลอดภัยให้เห็นได้ชัดเจนเลย คือ แม้แต่หน่วยงานรัฐ และรัฐบาลของสิงคโปร์ ก็มีการใช้งาน Workplace