มีความเป็นไปได้ว่าธุรกิจลอจิสติกส์ที่ฝากความหวังไว้กับโดรนจะเกิดความเสี่ยงเสียแล้ว เมื่อคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการให้รัฐบาลมีอำนาจในการ “สะกดรอย เจาะระบบ และทำลาย” โดรนเหล่านั้นได้ หากพบว่าโดรนนั้นมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดภัยต่อสาธารณะ
โดยทีมงานของทรัมป์ ได้ตีพิมพ์เอกสารร่างกฎหมาย จำนวน 10 หน้า เรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐบาลจัดการกับโดรนที่บินอยู่เหนือสหรัฐอเมริกา ที่แสดงตนว่าอาจกระทำการที่เป็นอันตรายต่อประชาชน
โดยร่างฯ ดังกล่าวโฟกัสไปที่การใช้โดรนในเชิงพาณิชย์ที่ใช้ในการส่งสินค้าจากธุรกิจออนไลน์ ซึ่งคณะทำงานของทรัมป์ มองว่า เทคโนโลยีในการพัฒนานั้น ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ และทำให้โดรนสามารถบรรทุกสิ่งของหนักๆ ได้ รวมถึงบินได้เป็นระยะทางไกล รวมถึงก่อนหน้านี้ที่กลุ่ม ISIS ได้มีการใช้โดรนขนาดเล็กที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปเป็นเครื่องมือในการทิ้งระเบิดในอิรัก และซีเรีย ก็เป็นหนึ่งในความกังวลนี้ด้วยเช่นกัน
จากเหตุนี้ทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการมีอำนาจควบคุมการบินของโดรนใน 4 ด้าน เริ่มตั้งแต่การสอดแนม ที่ต้องสามารถตรวจจับได้ มอนิเตอร์การบิน และสะกดรอยได้ โดยไม่ต้องขออนุญาต
ต่อด้วยการขอให้มีอำนาจในการเจาะระบบเพื่อเข้าควบคุมโดรนนั้นๆ เช่น ปิดการทำงาน หรือขัดขวางการควบคุมโดรนของเจ้าของเดิมโดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใดๆ
ข้อสามก็คือ การขอมีอำนาจในการสั่งทำลายโดรนที่มีแนวโน้มว่า จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสาธารณะ และข้อสี่ คือ การทำวิจัยและพัฒนาโดรน ซึ่งอาจเป็นโดรนที่ถูกสั่งให้ยุติการบินนั่นเอง
สำหรับเหตุผลที่คณะทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ยื่นขอต่อสภาคองเกรสให้ตนเองมีอำนาจในการควบคุมโดรนนั้นมาจากกฎหมายในปัจจุบันไม่อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐบาลสามารถเข้าไปแทรกแซงการควบคุมโดรนได้
ซึ่งหากอ้างอิงจากร่างกฎหมายดังกล่าว โดรนตัวใดก็ตามที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลสั่งยุติการทำงาน มันจะตกเป็นทรัพย์สินของรัฐบาล และถูกนำไปตรวจสอบ รวมถึงข้อมูลดิจิตอลที่โดรนบันทึกเอาไว้ก็ต้องส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ด้วย
ด้าน DJI บริษัทผู้ผลิตโดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลกปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับกรณีนี้ บอกเพียงแต่ว่า อยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากร่างกฎหมายดังกล่าวถูกบังคับใช้