ESRI คาดปี 2017 เติบโต 15% ขยายตลาดภาคเอกชนมากขึ้นเปลี่ยนจากสัดส่วนลูกค้าภาครัฐ และเอกชน 90/10 มาเป็น 70/30 ปรับกลยุทธ์วางแผนรุกหนักค้าปลีก และแฟรนไชส์ ผลักดันโซลูชันเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ธุรกิจค้าปลีก และแฟรนไชส์ตอบโจทย์การแข่งขันธุรกิจยุคดิจิตอล
นางสาวธนพร ฐิติสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการเกิดขึ้นของ Disruptive Trends หรือเทรนด์การปรับตัวในยุคดิจิตอล ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนโลกในประเทศไทยว่า ไม่ต่างจากประเทศอื่นในเอเชีย และทั่วโลก โดยส่งผลทำให้ธุรกิจไทยมีตลาดใหม่ หรือเครือข่ายใหม่ที่วิ่งแรงแซงตลาดเดิม หรือร้านค้าเดิมที่กำลังเสื่อมความนิยมไป ภาวะนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัท สินค้า และบริการดั้งเดิมที่เคยครองตลาดอยู่ก่อน หลายบริษัทต้องปรับตัวด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสทางการแข่งขัน
“เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ครอบคลุมเรื่องเทรนด์ Big DATA การวิเคราะห์ข้อมูลให้เกิดประโยชน์ที่สุด ด้วยการนำเสนอมุมมองใหม่ๆ เพื่อการเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ และการแก้ปัญหาที่ตรงจุดยิ่งขึ้น โดยการทำ Location Analytics ด้วยความเชื่อที่ว่า GIS Technology จะเป็นคีย์เทคโนโลยีที่สำคัญ ส่วนข้อมูลโลเคชัน และข้อมูลพื้นที่ คือ สุดยอดข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ที่สามารถตอบคำถามในธุรกิจได้”
อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทเอกชนไทยที่ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่าย และให้บริการโซลูชันระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือที่เรียกว่า GIS อย่างครบวงจร เพื่อสนับสนุนงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกบริการจีไอเอส ในประเทศไทยเป็นรายแรก และได้รับการแต่งตั้งจากบริษัท อีเอสอาร์ไอ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ชั้นนำของโลกภายใต้แบรนด์สินค้า ArcGIS ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายรายเดียวของประเทศอย่างเป็นทางการ
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการปรับนโยบายหันมารุกตลาดเอกชนมากขึ้น โดยปัจจุบันเน้นวางเป้าหมายเปลี่ยนจากสัดส่วนลูกค้าภาครัฐ และเอกชน 90/10 มาเป็น 70/30 ซึ่งแนวโน้มการตอบรับจากลูกค้าดีเกินคาดหมาย ในปี 2016 เติบโต 13% เป็นผลจากการวางแผน และกลยุทธ์ในการรุกตลาดกลุ่มเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยได้นำเสนอโซลูชัน Asset Valuation หรือการประเมินที่ดินโดยคาดว่าปี 2017 จะเติบโต 15% ด้วยการวางกลยุทธ์เพื่อรุกหนักภาคค้าปลีก และแฟรนไชส์ เพราะเล็งเห็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญ ซึ่ง GIS Technology สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
ส่วนโซลูชันใหม่ในปีนี้จะเน้นบุกตลาด 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.Healthcare 2.SLG (Smart Local Government) และ 3.กลุ่มธุรกิจเอกชน โดย 2 โซลูชันแรกเป็นการตอบสนองภาครัฐ ขณะที่โซลูชันที่ 3 ออกแบบมาสำหรับภาคเอกชน เน้นภาคธุรกิจค้าปลีก และแฟรนไชส์เป็นหลัก
“มีภาคธุรกิจสนใจนำโซลูชันด้านแผนที่มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลบริการงานธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ธุรกิจของตนเองอย่างต่อเนื่อง โซลูชันด้าน GIS สามารถใช้ตอบโจทย์ธุรกิจในการกำหนดจุดตั้งสาขา การวางแผนการขาย การวางแผนตรวจเยี่ยมลูกค้า ทำให้ลูกค้าในกลุ่มรีเทล ให้ความสนใจกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
โดยโซลูชันที่ภาคธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์ให้ความสำคัญ คือ การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง แบ่งการทำงานออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1.การวิเคราะห์สาขาที่ตั้ง เพื่อมองหาทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในการเปิดสาขา ซึ่งถือว่าเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของธุรกิจ โดยวิเคราะห์จากข้อมูลของผู้บริโภค และคู่แข่ง เช่น ที่ตั้งสาขา หรือพื้นที่การขาย รวมทั้งประเมินตำแหน่งที่ตั้งของสาขาที่ควรปิดเพื่อลดต้นทุน 2.ระบบการจัดการการกระจายสินค้า เพื่อเลือกตำแหน่งที่ตั้งจุดกระจายสินค้า เส้นทางการขนส่ง พร้อมทั้งระบบติดตามรถขนส่งสินค้า ช่วยในการจัดการด้านเวลา และเส้นทางการกระจายสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และ 3.ระบบการจัดการ และติดตามพนักงานขาย เพื่อแบ่งพื้นที่การขายของพนักงานขาย ดูข้อมูลการขาย และรายงานผลการขายแบบเรียลไทม์ จากสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ทำให้แก้ปัญหาในพื้นที่มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถประเมินผลพนักงานขาย และปรับแผนกลยุทธ์จากการวิเคราะห์โดยทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธ์สำคัญทางธุรกิจในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจค้าปลีก และแฟรนไชส์ให้เติบโตเหนือคู่แข่งได้
“เรามั่นใจว่า ลูกค้าจะได้ประโยชน์อย่างมากสำหรับการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับยุคสมัย และสร้างความสามารถทางการแข่งขันเหนือคู่แข่งด้วยข้อมูลโลเคชัน และข้อมูลพื้นที่ โซลูชันกลุ่ม Commercials โดยเฉพาะ Solutions Location Analytics คือ คำตอบของการจัดการธุรกิจค้าปลีก และแฟรนไชส์อย่างครบวงจร โดยบริษัทวางเป้าไว้ที่การขยายพาร์ตเนอร์ 3-5 ราย เพื่อเจาะตลาดเอกชน และสามารถบรรลุเป้าที่วางไว้ คือ โตขึ้น 15% ภายในปี 2017 อย่างแน่นอน”