‘พิเชฐ’ หนุน เคเบิลใต้น้ำ ทีโอที แย้ม หากโครงการดี ก็พร้อมจะเสนอที่ประชุมดีอีเพื่อมองหาแนวทางการจัดสรรงบประมาณให้ เตรียมเรียกผู้บริหารทีโอที-กสท โทรคมนาคม ถก เส้นทางเคเบิลใต้น้ำทั้งเก่าและใหม่ เพื่อหาจุดการทำงานร่วมกัน สอดรับบริษัทใหม่ที่กำลังจะผุดขึ้นจากการควบรวมธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท
นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนเองได้เดินทางดูความพร้อมในการให้บริการเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศ AAE1 (Asia-Africa-Europe 1) เป็นเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศ 1 ใน 3 ระบบ ที่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้รับอนุมัติจาก คสช. เมื่อปี 2557 แล้วพบว่าเป็นเส้นทางที่น่าสนใจเพราะสามารถเชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียตะวันออก ,ตะวันออกกลาง ,แอฟริกา และยุโรป
โดยเป็นระบบเคเบิลใต้น้ำข้ามทวีปที่มีความจุสูงเส้นแรก ที่มีแนวเคเบิลเส้นทางหลักจากฮ่องกง พาดผ่านทางภาคใต้ของประเทศไทย โดยมีจุดขึ้นบกที่จังหวัดสงขลา และเชื่อมต่อผ่านสายไฟเบอร์ออปติกภาคพื้นดิน (Thailand Crossing) ไปยัง จังหวัดสตูล เพื่อเชื่อมต่อไปยังยุโรป เสมือนเป็น land bridge ทางด้านโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ที่ช่วยลดระยะทางการเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างเอเชีย และยุโรป
นอกจากนี้ ผู้บริหารทีโอทียังได้รายงานด้วยว่ายังมีอีก 1 เส้นทางที่น่าสนใจคือ เส้นทาง SJC หรือเส้นทางไทยผ่านสิงคโปร์-ฮ่องกง-ญี่ปุ่นแต่เป็นเส้นทางที่ทีโอทีต้องลงทุนเองทั้งหมด ไม่ได้เป็นการร่วมลงทุนกับผู้ให้บริการต่างประเทศเหมือน AAE1 ซึ่งคาดว่าต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน ส่วนอีก 1 เส้นทาง คือ เส้นทาง SEA-ME-WE 5 เป็นการลากเคเบิลใต้น้ำจากเอเชียไปยุโรปซึ่งทีโอทีจะร่วมลงทุนกับประเทศแถบภูมิภาคเอเชียมูลค่า 1,000 ล้านบาท นั้น ทีโอทีไม่ได้แสดงความกังวลเรื่องงบประมาณ
ดังนั้น ตนเองเชื่อว่าหากโครงการของทีโอที ดีจริง ก็พร้อมจะนำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างไม่เป็นทางการก่อนก็ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วต้องนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดดีอี) พิจารณา แต่ต้องเป็นการนำเสนอภาพรวมของเคเบิลใต้น้ำทั้งหมด ซึ่งต้องมีการเชิญผู้บริหารจากทั้ง 2 หน่วยงานทั้ง ทีโอที และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีเส้นทางเคเบิลใต้น้ำอยู่หลายเส้นทางมาร่วมพูดคุยกันเพื่อหาข้อสรุปในการวางโครงข่ายให้ประเทศไทยเป็นฮับของภูมิภาคนี้
ขณะเดียวกันก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้บริหารทีโอทีเสนอด้วยว่าการที่ประเทศไทยจะเป็นฮับได้นั้น รัฐบาลก็ต้องสนับสนุนด้านงบประมาณและสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับคอนเทนต์ โพรวายเดอร์ เช่น กูเกิ้ล เฟซบุ๊ก ไลน์ ในการหันมาตั้งเซิร์ฟเวอร์ในประเทศไทยแทนสิงคโปร์เพื่อการเชื่อมต่อจะได้เชื่อมต่อไปยังประเทศต่างๆผ่านไทยได้ง่ายโดยไม่ต้องผ่านมาเลเซียเพื่อเชื่อมไปสิงคโปร์ก่อนออกไปประเทศต่างๆ เพราะภูมิศาสตร์ของประเทศไทยมีความได้เปรียบมากกว่าในการเชื่อมต่อออกไปยังประเทศต่างๆ
อย่างไรก็ตาม แนวทางการทำงานก็ต้องให้สอดคล้องกับบริษัทที่จะเกิดขึ้นใหม่ภายใต้การรวมธุรกิจเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศและดาต้าเซ็นเตอร์ของทั้ง 2 บริษัท ภายใต้บริษัท NGDCซึ่งกำลังจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน พ.ค.นี้ รวมถึงบริษัท NGN ด้วย
'กจญ.ของทั้ง 2 บริษัท จะต้องทำรายงานสรุปแผนงานทั้งหมดให้ละเอียดชัดเจน พื้นที่ไหนที่ยังไม่มีเส้นทางเคเบิลใต้น้ำผ่าน ให้เสนอสร้างเส้นทางเพิ่ม และเส้นทางเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่ความสามารถในการรองรับการใช้งาน (คาปาซิตี้) ไม่เพียงพอให้ขยายเพิ่มซึ่งจะต้องสรุปให้แล้วเสร็จภายใน 2-3เดือน เพื่อที่จะสรุปให้รัฐบาลรับทราบ โดยจะนำเข้าสู่ที่ประชุมดีอีพิจารณาต่อไป'
ด้านนายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที กล่าวว่า ระบบ AAE-1 ทีโอทีใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท เป็นระบบเคเบิลใต้น้ำที่มีระยะเวลาในการส่งข้อมูลระหว่างเอเชียตะวันออกและยุโรปต่ำสุด และยังเป็นระบบเคเบิลใต้น้ำเส้นแรกที่ทำให้ประเทศไทยมีวงจรเชื่อมต่อโดยตรงไปยังประเทศที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet Hub) ที่สำคัญของโลก ได้แก่ฮ่องกง สิงคโปร์ และ ฝรั่งเศส และยังเชื่อมต่อโดยตรงไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป รวม 18 ประเทศ ได้แก่ เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เวียดนาม กัมพูชา ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย ปากีสถาน โอมาน สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ กาตาร์ เยเมน จิบูตี ซาอุดิอาระเบีย อียิปต์ กรีซ อิตาลี และ ฝรั่งเศส ซึ่งจะสามารถช่วยเสริมศักยภาพให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN Digital Hub) ตามนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน
โดยใช้เทคโนโลยีล่าสุด 100 Gbps ต่อหนึ่งลำแสง และเป็นระบบมีขนาดความจุรวมมากกว่า 40 Tbps ซึ่งมีความจุเชื่อมต่อเข้าประเทศไทยสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ โดยลดระยะเวลาในการส่งข้อมูลได้มากกว่า 20% เมื่อเทียบกับระบบที่มีในปัจจุบัน
ที่มี ทีโอที เป็นผู้ลงทุนจากประเทศไทยร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำในประเทศต่างๆ อีก 18 ราย ปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้ว 85 %มีกำหนดเปิดการใช้งานในส่วนเส้นทางประเทศไทย-สิงคโปร์ และ ไทย-ฝรั่งเศส ในไตรมาส 2 ปีนี้ คาดว่าเมื่อเปิดให้บริการภายปีนี้แล้วจะมีรายได้ต่อปีประมาณ 300 ล้านบาท