โนเกีย เชื่อบริการธุรกิจสุขภาพดิจิตอลจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายหันมาลงทุนระบบคลาวด์มากยิ่งขึ้น หลังจากนำเสนอโซลูชั่นเกี่ยวกับสมาร์ทซิตี้ ในปีที่ผ่านมา และได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี ระบุถึงเวลาที่โอเปอเรเตอร์ควรลงทุนบริการคลาวด์เพื่อรับ IoT แล้ว
เซบาสเตียน โลฮอง ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย โนเกีย กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนไอทีในปีนี้ในมุมขององค์กรธุรกิจ รวมถึงหน่วยงานที่ลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานว่า ถึงเวลาที่ทุกการลงทุนทางด้านไอทีควรหันมาให้ความสำคัญกับระบบคลาวด์ได้แล้ว เพราะในแง่ขององค์กรธุรกิจ การที่มีคลาวด์ใช้งานจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายตัวได้สะดวกขึ้น
“สิ่งที่ระบบคลาวด์พิสูจน์ชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา คือ การเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่น เมื่อลูกค้ามีปริมาณการใช้งานเพิ่มสูงขึ้น คลาวด์ก็สามารถขยายตัวรองรับการใช้งานได้มากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มของอุปกรณ์ IoT ที่จะเชื่อมต่อเข้ามาในระบบคลาวด์มีมากขึ้น”
เมื่อบริการคลาวด์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของผู้บริโภค โดยเฉพาะในแง่ของความบันเทิง ทำให้โนเกีย มองถึงโอกาสทางธุรกิจในการให้บริการธุรกิจสุขภาพดิจิตอล (Digital Health) ที่มีผลสำรวจว่า ในปี 2563 มูลค่าตลาดนี้ในสหรัฐฯ จะสูงถึง 2.2 แสนล้านยูโร
ขณะเดียวกัน อุปกรณ์เชื่อมต่อเกี่ยวกับสุขภาพไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดความดันโลหิต จะเติบโตถึง 63% ในช่วงปี 2559-2563 เช่นเดียวกับการดูแลผู้ป่วยทางไกลจะเพิ่มขึ้นถึง 67% ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งทางโนเกีย ได้ลงทุนวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับโซลูชั่นในการนำอุปกรณ์เหล่านี้มาใช้งาน
“จากจำนวนอุปกรณ์ IoT ที่เพิ่มเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โนเกีย มองว่า จะมีในส่วนของธุรกิจสุขภาพดิจิตอลที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ และพร้อมที่จะจ่ายเงินเพื่อทำให้สุขภาพดีขึ้น จึงได้นำมาเป็นแนวทางหลักของการทำตลาดคลาวด์ในปีนี้ ด้วยการนำเสนอโซลูชั่นคลาวด์ที่เกี่ยวกับสุขภาพมาเสริมจากในปีที่ผ่านมา ที่มุ่งเน้นไปที่สมาร์ทซิตี้”
พร้อมกันนี้ ได้ยกตัวอย่าง การนำเทคโนโลยีสุขภาพเข้ามาใช้งานในหน่วยงานสาธารณสุข ด้วยการนำเครื่องวัดความดัน หรืออัตราการเต้นของหัวใจ ที่บันทึกข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ เข้าไปติดตั้งใช้งานภายในสถานพยาบาลในต่างจังหวัด เพื่อเก็บข้อมูลสุขภาพของคนไข้ ทำให้สามารถจัดสรรบุคลากรทางการแพทย์เข้าไปดูแลได้ง่ายขึ้น
แน่นอนว่า อุปกรณ์ IoT ทางการแพทย์ หรือเกี่ยวกับสุขภาพ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเห็นถึงการใช้งานได้ชัดเจนมากที่สุด และแน่นอนว่า โซลูชั่นคลาวด์ของโนเกีย สามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ในรูปแบบอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบ IoT ภายในรถยนต์ ช่วยบันทึกข้อมูลการขนส่ง ความเร็วที่ใช้ หรือการนำมาใช้กับการวัดมิเตอร์ไฟฟ้าต่างๆ
นอกจากนี้ ยังเปิดเผยว่า ภายในครึ่งแรกของปีนี้จะมีผู้ให้บริการเครือข่ายเริ่มนำบริการคลาวด์มาใช้กับอุปกรณ์ IoT ในประเทศไทย ที่มาจากการให้บริการโซลูชั่นของโนเกีย เพื่อให้บริการกับผู้บริโภคในการสร้างความแตกต่างจากบริการที่หลากหลายมากขึ้น
“ช่วงที่ผ่านมาโอเปอเรเตอร์จะเน้นลงทุนในการขยายเครือข่ายให้ครอบคลุม พร้อมกับการเพิ่มคาปาซิตี้ เพื่อให้รองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อลงทุนในส่วนนี้เสร็จแล้วก็จะถึงเวลาลงทุนในแง่ของบริการที่จะมาช่วยให้ผู้บริโภคใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น”
สำหรับคลาวด์โซลูชันของโนเกีย ที่พัฒนาขึ้นมาจะครอบคลุมทั้งในส่วนของอุปกรณ์สถานีฐานแบบคลาวด์ (Cloud Radio Access Network) ที่รองรับถึงเครือข่าย 5G รวมถึงแพลตฟอร์มในการบริหารจัดการแอปพลิเคชั่น เพื่อให้ผู้ให้บริการเครือข่ายสามารถนำไปใช้งานได้ทันที พร้อมไปกับผลิตภัณฑ์ที่จะเข้ามาดูแลในแง่ของความปลอดภัย
Company Relate Link :
Nokia