แฟนธอม (ประเทศไทย) เปิดตัวโดรนใหม่ล่าสุด แบรนด์ DJI รุ่น “PHANTOM 4” ลุยตลาดประเทศไทย ชูจุดแข็งเทคโนโลยีใหม่ พร้อมบริการหลังการขาย โดยตั้งงบ 10 ล้านบาท เร่งเปิดชอปรูปแบบใหม่ให้ครบ 3 สาขา ไม่เกินไตรมาส 3 รองรับการเติบโตของตลาดในประเทศจาก 250 ล้านบาท ในปี 2558 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านบาท ในปี 2559
นายชนินทร์ มโนชญากร ผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-Founder) บริษัท แฟนธอม (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายโดรนยี่ห้อ DJI เปิดเผยว่า ตลาดโดรนติดกล้องเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศเป็นอย่างมาก และมียอดขายรวมทั่วโลกเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่องกว่า 25,000 ล้านบาท โดยปัจจุบัน มีผู้ใช้โดรนทั่วโลกมากถึง 3 ล้านคน ซึ่งมีตลาดใหญ่ที่สุด คือ ตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีผู้ใช้โดรนมากถึง 1 ล้านคน และแบรนด์ DJI ก็คือ ผู้พัฒนาโดรนติดกล้องที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึงกว่า 70%
ขณะที่ตลาดในประเทศไทยก็มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดเช่นกัน โดยคาดว่าปี 2559 จะมีมูลค่ารวมสูงกว่า 400 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากตลาดรวมในปีที่ผ่านมากว่า 250 ล้านบาท และยังคงมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์ และต้องการเป็นเจ้าของมากขึ้น โดยผู้บริโภคมีการรวมกลุ่มเป็น community มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด มีกิจกรรมเพื่อพัฒนาเทคนิค และการใช้งานอย่างต่อเนื่อง
ในปีที่ผ่านมา แฟนธอม (ประเทศไทย) มียอดขายรวมกว่า 200 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ 60% จากอุปกรณ์กลุ่มโดรนติดกล้อง ขณะที่แบรนด์ DJI มีส่วนแบ่งทางการตลาดจากยอดขายรวมทุกผู้จัดจำหน่ายถึงกว่า 90% โดยปีนี้ตั้งเป้าขยายยอดขายเพิ่มขึ้น 50% คิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท หลังจัดงบการสร้างชอปรูปแบบใหม่ไว้กว่า 10 ล้านบาท เพื่อเป็นโชว์รูม ศูนย์ฝึกอบรม และศูนย์บริการมาตรฐานอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “DJI Experience” โดยชูจุดเด่นด้านการบริการหลังการขายที่เชื่อถือได้ มีใบรับประกันจากแฟนธอม (ประเทศไทย) ทุกกล่อง สามารถเปลี่ยนสินค้าที่มีปัญหาภายใน 7 วันหลังการจำหน่าย และมีศูนย์บริการมาตรฐานสำหรับการซ่อมบำรุงผลิตภัณฑ์ ซึ่งต่างจากเครื่องที่นำเข้าอย่างไม่ถูกต้องที่จะต้องดำเนินการในการแจ้งซ่อมบำรุงทุกอย่างต่อทาง DJI ที่ต่างประเทศเอง โดยสาขาแรกเปิดตัวไปแล้วที่ คริสตัล ปาร์ค และจะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา ให้ครบ 3 สาขา ไม่เกินไตรมาส 3 ที่จะถึงนี้ และในปีถัดไปจะเปิดเพิ่มให้ครบ 5 สาขา
นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง คือ 1.จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ www.phantomthailand.com 2.จำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายของบริษัท และ 3.จำหน่ายผ่านร้านรีเทลชอป ซึ่งเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากลูกค้าเชื่อมั่นจากการได้สัมผัสสินค้า และเข้าใจผลิตภัณฑ์จนสามารถตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ด้วยความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งมีร้านค้า .Life, iStudio, Gizman, Jaymart, แผนก IT Gadget และกล้อง รวมไปถึงตลาดโมเดิร์นเทรด และห้างสรรพสินค้าต่างๆ แล้ว
รวมทั้งยังได้เพิ่มช่องทางการตลาดซึ่งแบ่งออกตามการใช้งานของอุตสาหกรรม โดยเบื้องต้น เน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรมการเกษตรที่เริ่มมีการนำเสนอโครงการร่วมกันกับภาครัฐ ซึ่งล่าสุด มีการเปิดจองเครื่องโดรนพ่นยา ที่ได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่น และการนำโดรนติดกล้องไปใช้ตรวจการณ์ด้านความปลอดภัย โดยมีการเข้าไปเจรจากับหน่วยงานรัฐเช่นกัน ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าหลักแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเท่าๆ กัน คือ 1.กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งต้องการนำโดรนติดกล้องไปใช้งานงานจริงจัง และกลุ่มที่ 2.เป็นกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ต้องการทดลอง และใช้งานเล็กน้อย
นายกฤษณ์ เปลี่ยนแพ ผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-Founder) บริษัท แฟนธอม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า ในไตรมาส 2 ที่จะถึงนี้ได้เปิดตัว แฟนธอม โฟร์ (PHANTOM 4) ซึ่งเป็นซีรีส์ล่าสุดในกลุ่ม PHANTOM โดรนติดกล้องสำหรับช่างภาพมืออาชีพ และช่างภาพสมัครเล่น ซึ่งพัฒนามาจากซีรีส์ก่อนหน้านี้ (PHANTOM 3) ในทุกๆ ด้าน แบ่งเป็นด้านตัวเครื่อง แฟนธอม โฟร์ ได้รับการออกแบบให้บินในอากาศได้ดีขึ้น มีความนิ่งมากขึ้น เพิ่มความสามารถในการโฉบ และลอยตัวโดยสามารถควบคุมระยะบินได้ไกลถึง 5 กิโลเมตร สามารถบินต่อเนื่องได้นานขึ้นเป็น 28 นาที พร้อมโหมดการบินที่หลากหลาย
เช่น TapFly Mode โหมดการบินอิสระแบบใหม่ที่ทำให้สามารถกำหนดเส้นทาง และความเร็วในการบินด้วยการแตะสั่งงานผ่านหน้าจอได้ทันที และ Active Track ที่สามารถสั่งให้ติดตามคน สัตว์ หรือสิ่งของที่เคลื่อนไหวต่างๆ ได้เอง พร้อมเพิ่มเซ็นเซอร์ถึง 4 ตัว แบ่งเป็นกล้องด้านหน้า 2 ตัว และกล้องอัลตร้าโซนิก 2 ตัว ที่จะทำงานร่วมกับกล้องหลักในการสร้างแผนที่สามมิติคำนวณระยะห่างจากอุปสรรคในการบิน และสามารถหยุด หรือหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้
พร้อมทั้งสามารถบันทึกวิดีโอขนาด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที และสามารถถ่ายวิดีโอแบบ Full HD 1080p ที่ 120 เฟรมต่อวินาที เพื่อการถ่ายแบบสโลว์โมชัน และสามารถถ่ายภาพนิ่งขนาด 12 ล้านเมกะพิกเซล ด้วยเลนส์คุณภาพสูง จำนวน 8 ชิ้น ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดมากยิ่งขึ้น พร้อมสามารถช่วยลดปัญหาการเพี้ยนของสี โดยเฉพาะบริเวณขอบของวัตถุในภาพได้ดี นอกจากนี้ ด้วยอุปกรณ์ป้องกันการสั่นไหวของภาพแบบ 3 แกน ทำให้ได้ภาพที่ลื่นไหล มีความสั่นไหวน้อยที่สุด
ทั้งนี้ แฟนธอม โฟร์ ได้เปิดตัวไปในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจนสินค้าขาดตลาด ซึ่ง แฟนธอม (ประเทศไทย) จะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยราวเดือนเมษายนนี้ พร้อมประกันศูนย์ และบริการฝึกอบรมการบินฟรีสำหรับผู้สนใจ โดยราคาสุทธิอยู่ที่ 64,400 บาท