อินสตาแกรมเผยปัจจุบันมีผู้ใช้งานในเมืองไทยแล้ว 7.1 ล้านราย กรุงเทพฯ มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ชี้นอกจากจะเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจจากการดูภาพถ่ายแล้ว ยังช่วยผลักดันสินค้าต่างๆ เข้าถึงตัวลูกค้าได้อย่างดีอีกด้วย หลังเปิดตัวแพลตฟอร์มโฆษณาตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่าแบรนด์ที่ใช้ต่างประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มั่นใจจะเป็นอีกช่องทางโฆษณาที่ช่วยธุรกิจได้มาก และตอบรับกับตลาดโฆษณาบนสื่อดิจิตอลที่จะเติบโตสูงถึง 10,000 ล้านบาทในปีนี้
นายพอล เว็บสเตอร์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาและสร้างสรรค์แบรนด์ อินสตาแกรม ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินสตาแกรมประมาณ 400 ล้านคนทั่วโลก และมีการแชร์ภาพกว่า 80 ล้านภาพต่อวัน ส่วนในเมืองไทยมีผู้ใช้งานประมาณ 7.1 ล้านราย โดยกรุงเทพฯ มีการใช้งานอินสตาแกรมมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก อินสตาแกรมนอกจากจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจในด้านต่างๆ จากคนที่ชอบดูภาพแล้ว ยังสามารถสื่อสารผลิตภัณฑ์ไปถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดีอีกด้วย
ล่าสุดจากผลสำรวจพบว่า แบรนด์เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการโรงแรมเป็นหนึ่งในธุรกิจบนอินสตาแกรมที่ชาวไทยให้ความสนใจมากที่สุด 59% ได้รับรู้ถึงแบรนด์ และสินค้าใหม่ๆ ผ่านอินสตาแกรม 85% ของผู้ใช้งานจะติดตามแบรนด์สินค้าอย่างน้อย 1 แบรนด์ และ 49% สั่งซื้อสินค้าแบรนด์ที่ตนเองติดตาม 35% และ 32% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คลิกไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์นั้นๆ ในขณะที่มี 30% เริ่มติดตามแอ็กเคานต์ของแบรนด์ด้วย ดังนั้น อินสตาแกรมถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยให้การทำแบรนด์ประสบความสำเร็จได้
“ผู้ขายสามารถทำให้การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่าย ก็จะทำให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์หลังจากเกิดความสนใจได้ คนจำโฆษณาได้มากขึ้น เพราะผู้ใช้งานชาวไทยตอบสนองต่อโฆษณาที่ดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี โดย 1 ใน 3 ของผู้ใช้งานจะชื่นชอบโฆษณาที่มีปุ่มให้คลิกไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์ได้โดยตรง ในขณะที่ผู้ขายเองก็จะมีต้นทุนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ แต่สามารถสร้างการตัดสินใจเพื่อเข้าไปสู่การซื้อได้มาก”
นายพอล กล่าวว่า ทั้งนี้ แพลตฟอร์มโฆษณาบนอินสตาแกรมสร้างบน Facebook ซึ่งถือว่าเป็นการทำการตลาดที่เฉพาะเจาะจง ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า รวมถึงการวัดผล และกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ผ่านช่องทางที่หลากหลายกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ และอินสตาแกรมได้เปิดตัวโฆษณาบนแพลตฟอร์มอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้ามาใช้งานโฆษณาอินสตาแกรมได้
โดยยังได้ทำการพัฒนารูปแบบการโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ตัวเลือกในการลงโฆษณา เพื่อช่วยผู้ลงโฆษณาได้รับประโยชน์มากที่สุด ตั้งแต่การเพิ่มอัตราการรับรู้ของแบรนด์ ไปจนถึงการผลักดันให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ โดยในประเทศไทย ปัจจุบันแบรนด์ที่ใช้งานอินสตาแกรมเป็นกลุ่มแรกๆ ได้แก่ ดีแทค ลาซาด้า แอร์ เอเชีย และซาลอร่า
การเปิดตัวโฆษณาบนอินสตาแกรมในเมืองไทยยังถือเป็นการตอบสนองต่อเทรนด์การลงทุนโฆษณาบนสื่อดิจิตอล ที่คาดว่าจะเติบโตสูงขึ้นถึงเกือบ 10,000 ล้านบาทภายในปีนี้ ประกอบกับปัจจุบันเมืองไทยมีการใช้งานมือถือมากกว่าอุปกรณ์อื่นๆ และครองสถิติการใช้เวลาในสื่อโซเชียลที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้การโฆษณาบนอินสตาแกรมสามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจได้มาก
“ผลสำรวจระดับโลกของบริษัทนีลเส็น จากแคมเปญโฆษณากว่า 475 แคมเปญ พบว่า การจดจำโฆษณาในรูปแบบสปอนเซอร์โพสต์บนอินสตาแกรม สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโฆษณาออนไลน์ทั่วไปที่ทางนีลเส็นเคยทำการศึกษา ถึง 2.8 เท่า นอกเหนือจากนี้ ยังพบว่า 97% ของแคมเปญโฆษณาบนอินสตาแกรมช่วยเพิ่มการจดจำโฆษณาได้”
นายพอล กล่าวว่า ผลของการโฆษณาผ่านอินสตาแกรมของดีแทค พบว่า อินสตาแกรมเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการโปรโมตแบรนด์ และจัดกิจกรรมทางตรงของดีแทค โดยได้ทำการโฆษณาผ่านอินสตาแกรม สำหรับแคมเปญการสร้างแบรนด์เพื่อโปรโมตเน็ตเวิร์ก และทำให้ดีแทคสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานชาวไทยกว่า 3.15 ล้านคนด้วยช่องทางนี้ และมียอดวิววิดีโอถึง 777,000 คน โดยมีต้นทุนอยู่ที่ 1 บาทต่อ 1 วิวเท่านั้น
เช่นเดียวกับลาซาด้า ที่ได้ใช้งานโฆษณาอินสตาแกรมในรูปแบบการตอบสนองโดยตรง เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งาน โดยสามารถคลิกติดตั้งแอปพลิเคชันลาซาด้าได้โดยตรงทันที ผ่านปุ่ม‘ติดตั้งทันที’ทำให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานชาวไทย 1.6 ล้านคน ในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์ของการจัดแคมเปญ ด้วยการลงทุนที่น้อยกว่าการติดตั้งแอปพลิเคชันแบบปกติถึง 20%
ในขณะที่เพิ่มอัตราการคลิกไปยังแอปพลิเคชันมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 77% อีกด้วย นอกจากนี้ ลาซาด้ายังวางแผนที่จะต่อยอดการใช้งานโฆษณาบนอินสตาแกรมด้วยกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับทั้งกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน
นายพอล กล่าวว่า นอกจากการโฆษณาแล้ว ผลการศึกษาเกี่ยวกับผู้ใช้งานอินสตาแกรมของคนไทย (อายุระหว่าง 18-44 ปี) ของบริษัท TNS สนับสนุนโดย Facebook ซึ่งได้ทำการศึกษาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2558 พบว่า ผู้ใช้งานอินสตาแกรมคนไทยส่วนใหญ่ยังมีอายุน้อย ได้รับการศึกษา และมีกำลังซื้อสูง 47% ของผู้ใช้งานอินสตาแกรมชาวไทยที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 24 ปี ใช้งานบนแพลตฟอร์มนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายโดยมีสัดส่วน 59% ส่วนใหญ่จะมีรายได้ต่อครัวเรือนมากกว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนอย่างเดียว 1.5 เท่า
ส่วนพฤติกรรมการโพสต์นั้น 91% ของผู้ใช้งานมีปรับแต่งฟิลเตอร์ก่อนที่จะโพสต์รูปภาพ ส่วน 87 % มีการโพสต์วิดีโอ 98% ของผู้ใช้งาน คอมเมนต์ และแท็กเพื่อนๆ ในโพสต์ที่น่าสนใจ 94% ยังได้โพสต์รูปภาพไปยังโซเชียลมีเดียอื่นๆ นอกเหนือจากอินสตาแกรม นอกจากนี้ พฤติกรรมของคนไทยยังใช้อินสตาแกรมในการค้นคว้าหาแรงบันดาลใจ เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ที่น่าสนใจ แบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยว ค้นหาข้อมูล และอัปเดตเทรนด์ใหม่ล่าสุด
61% ของผู้ใช้งานอินสตาแกรมใช้แพลตฟอร์มนี้ เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจ และยอมรับว่าอินสตาแกรมช่วยสร้างความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง 72% ของผู้ใช้งานพบว่า อินสตาแกรมช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้กับพวกเขา 67% เผยว่าอินสตาแกรมช่วยให้พวกเขาเห็นถึงวัฒนธรรมที่กำลังเติบโต เปลี่ยนแปลง และขยายตัว 65% มองว่าแบรนด์ต่างๆ ต้องนำเสนอคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ผ่านแพลตฟอร์มนี้
60% กล่าวว่า พวกเขาจะตอบสนองกับแบรนด์ หากคอนเทนต์ หรือสินค้าเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา 56% แสดงความเห็นว่า พวกเขายินดีกับการนำเสนอโฆษณาบนอินสตาแกรม ตราบใดที่รูปภาพที่ปรากฏบนแพลตฟอร์มนั้นมีความสร้างสรรค์ และมีคุณภาพ 40% ระบุว่า พวกเขาชอบโฆษณาวิดีโอสั้นๆ ที่มาพร้อมกับคำบรรยาย 34% กล่าวว่า ต้องการให้โพสต์โฆษณาต่างๆ มีปุ่มที่พวกเขาสามารถคลิกไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์ได้โดยตรง