อาร์ทีบี เสริมทัพด้วย 2 ผลิตภัณฑ์ Wearable Device และ Home Connected Devices หวังยอดขายปีนี้เพิ่มขึ้น 10% เตรียมบุกตลาดต่างประเทศ เปิดสำนักงานในพม่า ขยายช่องทางขายในลาวและกัมพูชาอย่างจริงจัง ตั้งยอดรายได้ 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2-3% มั่นใจตลาด Home Connected Devices จะเติบโตอย่างรวดเร็วตามกระแสอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (IoT) เทงบการตลาด 30 ล้านบาท ชิงส่วนแบ่งตลาดรวม 5,000 ล้านบาทปีนี้
นายบรรพต วัฒนสมบัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ทีบี เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า อาร์ทีบีเตรียมที่จะรุกตลาด Wearable Device และ Home Connected Devices ให้เป็นผลิตภัณฑ์บุกตลาดในครึ่งปีหลังอย่างจริงจัง โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นในปีนี้ 10% จากยอดขายในปีที่ผ่านมา 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 450 ล้านบาท และเตรียมที่จะบุกตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในตลาดพม่า ที่คาดว่าจะทำตลาดได้เป็นอย่างดี และสามารถเพิ่มยอดรายได้ในตลาดต่างประเทศได้เป็น 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2-3%
ปัจจุบัน อาร์ทีบีมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์หูฟัง บลูทูธ 30% หูฟังเพลง 30% Wearable Device 15% และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ประมาณ 25% สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Connected Devices ที่จะนำเข้ามาใหม่นั้นจะเริ่มมีส่วนแบ่งในปีนี้ประมาณ 3-5% และขยายเพิ่มเป็น 20-30% ในปีหน้า และจะขยายตัวสูงขึ้นเป็น 80% ในปี 2020 ตามเทรนด์ของอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (IoT)
“การเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ Wearable Device และเสริมทัพด้วย Connected Devices นั้นจะถือเป็นการตอบโจทย์เทรนด์การใช้งานของผู้บริโภคที่นิยมการใช้งานอุปกรณ์สวมใส่ และการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์พกพาต่างๆ ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี และทำให้อาร์ทีบีมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 5 เดือนแรกมียอดขายแล้วที่ 140 ล้านบาท”
ทั้งนี้ อาร์ทีบี มีการผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งซัปพลายเออร์ และช่องทางจัดจำหน่ายในผลิตภัณฑ์อุปกรณ์เสริมด้านต่างๆ เพื่อเสริมศักยภาพการทำตลาดร่วมกันยิ่งขึ้น โดยปีที่ผ่านมาอาร์ทีบีมีพันธมิตรทางธุรกิจรวม 10 แบรนด์ ประกอบด้วย Jabra (จาบรา), Beats (บีทส์), Philips (ฟิลิปส์), NudeAudio (นู๊ดออดิโอ), Gear4 (เกียร์โฟร์), iUi (ไอยูไอ), UniQ (ยูนิค), Maxell (แม็กเซล), Gigaset (กิ๊กกาเซ็ท) และ Jawbone (จาวโบน) ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มหูฟังมีสาย, หูฟังบลูทูธ, เคสโทรศัพท์มือถือ, เพาเวอร์แบงก์ และแวร์เอเบิลดีไวซ์ โดยในปีนี้ได้ขยายพันธมิตรรายใหม่เพิ่มขึ้น เช่น Audio-Technica (ออดิโอ-เทคนิก้า) ซึ่งเป็นหูฟังที่มียอดขายสูงสุดอันดับหนึ่งในญี่ปุ่นมา 6 ปีซ้อน, Motorola (โมโตโรล่า) กล้องวงจรปิดภายในบ้านที่มาพร้อมการเชื่อมต่อไวไฟ และ Mophie (โมฟี่) แบรนด์แบตเตอรี่เคสอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
พร้อมกันนี้ ยังมีแผนจะนำเข้าผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาทำตลาดในช่วงไตรมาส 3 อีก 3 แบรนด์ คือEnergea (เอ็นเนอร์เกีย), Smanos (ซามานอส) และ TheCoopIdea (เดอะคูปไอเดีย) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งเป็นการสร้างความแตกต่าง และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์สู่ผู้บริโภคในวงกว้างยิ่งขึ้น
นายบรรพต กล่าวว่า สำหรับการรุกตลาดต่างประเทศนั้น อาร์ทีบีได้เตรียมเปิดสำนักงานในประเทศพม่า เพราะในขณะนี้มีโอเปอเรเตอร์เข้าไปดำเนินธุรกิจใหม่ 2 ราย ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะทำให้พม่ามีเบอร์มือถือเป็น 20 ล้านเลขหมาย ซึ่งจะทำให้ตลาดอุปกรณ์เสริมเติบโตตามไปด้วย ส่วนในประเทศกัมพูชา และลาวนั้น อาร์ทีบี จะเข้าไปจับมือกับพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นในการเข้าไปทำตลาด ซึ่งจะทำให้ยอดรายได้ในต่างประเทศเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2-3%
สำหรับสถานการณ์ตลาดในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ตลาดได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีการเติบโตแบบชะลอตัว ประกอบกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีการนำเข้าสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด เพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคมากขึ้น เช่นเดียวกับในฝั่งผู้บริโภคเองที่เริ่มมองการใช้งานอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นมากกว่าที่จะมองเป็นแฟชั่น จึงส่งผลให้ตลาดรวมอุตสาหกรรมค้าปลีกมือถือ และไอทีมีการเติบโตลดลงประมาณ 15-20%
“ภาพรวมตลาดอุปกรณ์เสริมในปี 2558 คาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งอาร์ทีบีได้เตรียมงบประมาณทางการตลาดไว้ที่ 30 ล้านบาท โดยจะเน้นการสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร ทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ สื่อดิจิตอล และออนไลน์ มาร์เกตติ้ง รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมกับตัวแทนจำหน่าย และผู้บริโภคเพื่อสร้างความผูกพันกับแบรนด์ยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ก็เน้นเสริมแกร่งช่องทางการจัดจำหน่ายเดิมที่มีอยู่ทั่วประเทศผ่านตัวแทนจำหน่ายที่มีความแข็งแกร่ง จำนวน 400 ราย รวมไปถึงช่องทางออนไลน์ที่กำลังเติบโตมากขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมา ช่องทางนี้มีการเติบโตถึง 5% เพิ่มจากเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 0.1% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15% ในปีหน้า”
Company Related Link :
RTB