ในที่สุดไมโครซอฟท์ (Microsoft) ก็ประกาศราคาแท็บเล็ตฝีมือการผลิตของตัวเองอย่าง Surface RT ที่ระหว่าง 499-699 เหรียญสหรัฐ (ราว 15,000-21,000 บาท) คำถามที่เกิดขึ้นในวันนี้คือ แท็บเล็ตของไมโครซอฟท์นั้น"ดี"พอที่จะดึงผู้บริโภคให้ออกจากวังวนมนต์สะกดของ iPad แท็บเล็ตจากแอปเปิลที่ครองอันดับ 1 ในตลาดขณะนี้ได้หรือไม่
คำถามนี้ถูกแพ่งเล็งมากขึ้นเมื่อไมโครซอฟท์เปิดราคาจำหน่าย Surface ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Windows RT เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยแท็บเล็ตรุ่นแรกของโลกที่ใช้แบรนด์ไมโครซอฟท์นั้นจะวางจำหน่าย 3 ระดับราคา ได้แก่ รุ่น 32GB ไม่มีคีย์บอร์ดราคา 499 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 15,000 บาท), รุ่น 32GB พร้อมคีย์บอร์ด Touch Cover ราคา 599 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 18,500 บาท) และรุ่น 64GB พร้อมคีย์บอร์ด Touch Cover ราคา 699 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 21,500 บาท)
Touch Cover นั้นคือปกกันรอยฝังคีย์บอร์ดบางเฉียบที่เป็นจุดขายหลักของ Surface โดยไมโครซอฟท์ประกาศแล้วว่าจะจำหน่าย Touch Cover แยกต่างหากด้วยในราคา 119.99 เหรียญ (ราว 3,500 บาท) มาพร้อม 4 สีให้เลือก คือดำ, ขาว, ฟ้า, ม่วง และแดง
นอกจากนี้ยังมี Type Cover คีย์บอร์ดตัวเต็มที่มีความหนากว่า Touch Cover เล็กน้อยซึ่งจะให้ความรู้สึกเหมือนการใช้คีย์บอร์ดดั้งเดิม ไมโครซอฟท์มีแผนจำหน่าย Type Cover ในราคา 129 เหรียญสหรัฐ (ราว 3,800 บาท) มีสีให้เลือกสีดำสีเดียว
ไมโครซอฟท์ระบุว่า Surface จะเปิดให้สั่งจองที่ www.surface.com หรือเริ่มซื้อที่ร้าน Microsoft Store วันที่ 26 ตุลาคมนี้ รวมถึงจุดจำหน่ายพิเศษเพื่อรับเทศกาลจับจ่ายปลายปีที่กำลังจะเปิดตัวทั่วสหรัฐฯราว 34 แห่ง ขณะเดียวกัน ชาวสหรัฐฯ ออสเตรเลีย แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮ่องกง และอังกฤษ ก็จะสามารถสั่งซื้อ Surface แบบออนไลน์ได้
Surface นั้นเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ครั้งนั้นไมโครซอฟท์ยืนยันว่าราคาของ Surface จะสามารถแข่งขันกับแท็บเล็ตเจ้าอื่นได้ แน่นอนว่าคำพูดนี้เป็นจริง เพราะราคาเริ่มต้น 499 เหรียญของ Surface RT นั้นเท่ากับ New iPad ที่มีความจุ 16GB
คำว่า Surface RT นั้นมาจากระบบปฏิบัติการ Windows RT เป็นเวอร์ชันหนึ่งของระบบปฏิบัติการ Windows 8 ที่ออกแบบพิเศษเพื่อทำงานกับชิปสถาปัตยกรรม ARM ซึ่งเป็นชิปประหยัดพลังงานที่สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต (รวมถึง iPad) ใช้งาน สิ่งที่ไมโครซอฟท์ทำในวันนี้จึงเป็นการนำแท็บเล็ตที่ใช้ชิป ARM มาติดตั้งโปรแกรม Office ทั้ง Word, PowerPoint, Excel และ OneNote ครบชุด แต่มีข้อแม้ว่าแท็บเล็ตนี้จะไม่สามารถติดตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows ทั่วไปได้
นี่เองที่ทำให้ไมโครซอฟท์เลือกพัฒนา Surface เวอร์ชันอื่นควบคู่ไปด้วยในชื่อ Surface Pro ซึ่งจะเป็น Surface ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 8 Pro คาดว่าจะเริ่มเปิดตัวภายใน 3 เดือนนับจากนี้
Surface Pro จะใช้ชิปสถาปัตยกรรม x86 ที่ผลิตโดยค่ายชิปคอมพิวเตอร์อย่างอินเทล (Intel) และเอเอ็มดี (AMD) สนนราคาของ Surface Pro เชื่อว่าจะสูงกว่ารุ่น RT โดยอาจมีราคาใกล้เคียงกับสินค้ากลุ่มอัลตราบุ๊ก หรือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กบางเฉียบราคาไม่ธรรมดา ซึ่งแน่นอนว่า Surface Pro จะใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 8 และรองรับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Windows ทั่วไปได้
แม้จะชัดเจนแล้วว่า Surface นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Windows 8 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีงบประมาณประชาสัมพันธ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไมโครซอฟท์ แต่ไมโครซอฟท์เลือกที่จะไม่รอให้ถึงวันที่ 26 ตุลาคมวันเปิดตัว Windows 8 ตัดสินใจเปิดตัวโฆษณาแท็บเล็ต Surface ในสหรัฐฯอย่างจริงจัง แน่นอนว่าโฆษณานี้ทำให้ตลาดอเมริกันหันมาสนใจ Surface มากขึ้น จนทำให้นักวิเคราะห์มองว่าแม้ราคาของ Surface RT จะไม่หวือหวาอย่างที่คาดการณ์ แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นสินค้าที่แข่งขันได้
จุดนี้ Tom Mainelli นักวิเคราะห์ของไอดีซีมองว่า หนึ่งในความท้าทายของ Surface คือสถานที่จำหน่ายที่ผู้บริโภคจะซื้อหา Surface ได้นั้นมีจำกัด ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าผู้บริโภคจำนวนมากจะต้องการทดลองใช้งานคีย์บอร์ดใหม่ทั้ง Touch Cover และ Type Cover ก่อนจะซื้อมาใช้งาน จุดนี้ไมโครซอฟท์แก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการตั้งจุดจำหน่ายพิเศษเพื่อบุกตลาดอเมริกันช่วงจับจ่ายปลายปี ซึ่งทำให้แผนการจำหน่ายในพื้นที่นอกสหรัฐฯยังไม่มีความแน่ชัด
นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายเรื่องจำนวนแอปพลิเคชันใน Windows Store ซึ่งยังมีน้อยมากเมื่อเทียบกับ iPad แม้ว่า Surface จะพยายามเสนอตัวเองเป็นเครื่องมือที่แตกต่าง และสามารถนำไปใช้งานในโลกธุรกิจได้ดีกว่าแท็บเล็ตรุ่นเล็กที่มีราคาประหยัดกว่า
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความท้าทายหลายเรื่อง แต่ก็ยังมีแนวโน้มว่าไมโครซอฟท์วางแผนจำหน่าย Surface อย่างยิ่งใหญ่ โดยสื่ออย่าง Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวผู้ผลิตในเอเชีย รายงานว่าไมโครซอฟท์ทุ่มคำสั่งซื้อส่วนประกอบ Surface เพื่อผลิตให้ได้ราว 3-5 ล้านเครื่องในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
"นี่คือจำนวนที่สูงมาก" นักวิเคราะห์ Mainelli ให้สัมภาษณ์โดยตั้งข้อสังเกตเทียบกับอเมซอน (Amazon) ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกออนไลน์อเมริกันที่หันมาผลิตและจำหน่ายแท็บเล็ตของตัวเองนั้นจัดส่งแท็บเล็ต Kindle Fire ราว 5 ล้านเครื่องนับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2011 ที่ผ่านมา ขณะที่ Nexus 7 แท็บเล็ตของกูเกิลที่จัดส่งได้ราว 2 ล้านเครื่องถึงปัจจุบัน ขณะที่แอปเปิลจัดจำหน่าย iPad ถึง 17 ล้านเครื่องในไตรมาสที่ผ่านมา
เรื่องนี้ Michael Gartenberg นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัย Gartner เชื่อว่าความท้าทายของไมโครซอฟท์ไม่ได้อยู่ที่การกำหนดราคาให้ Surface เพราะเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าผู้บริโภคสามารถจ่ายเงินเท่าใดก็ได้หากต้องการสินค้านั้น แต่ความท้าทายของไมโครซอฟท์คือการสร้างความแตกต่าง ซึ่งจะต้องเป็นความต่างที่ทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกเข้าใจและรับรู้ว่า ทำไมความแตกต่างนั้นจึงดีกว่า
"นี่จึงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของไมโครซอฟท์ เพราะไม่เพียงต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีเท่านั้น แต่ไมโครซอฟท์ยังต้องส่งสาร (message) เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภคและทำการตลาดอย่างเหมาะสมด้วย"
ความท้าทายนี้จะสะท้อนถึง iPad โดยตรง เพราะวันนี้ iPad คือตัวเลือกพื้นฐานของผู้ต้องการแท็บเล็ตส่วนใหญ่ ซึ่งไมโครซอฟท์จะต้องเป็นผู้ร่ายมนต์ให้คนเหล่านี้ตัดสินใจเปลี่ยนแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะในวันที่แอปเปิลส่งหมายเชิญสื่อมวลชนร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ ซึ่งคาดกันว่าจะเป็นเวทีเปิดตัว iPad Mini แท็บเล็ตที่มีขนาดเล็กกว่าและประหยัดกว่าสินค้าตระกูล iPad ที่เคยมีมา
ทั้งหมดนี้ นักวิเคราะห์เชื่อว่าการแข่งขันในตลาดแท็บเล็ตจะไม่เป็นเพียงการแข่งขันเพื่อยอดขายของอุปกรณ์ แต่เป็นการแข่งขันทั้งแพลตฟอร์ม ซึ่งทุกค่ายต้องแย่งชิงกันเพื่อครองโอกาสในการขายบริการของตัวเองสู่ผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด
"มันไม่ใช่ศึกระหว่าง iPad vs. Surface vs. Nexus แต่เป็นศึกระหว่างระบบนิเวศน์ทางเศรษฐกิจ (ecosystem) คือ Microsoft ecosystem vs. Google ecosystem vs. Apple ecosystem มากกว่า"
แน่นอนว่าทุกอย่างจะเริ่มได้ที่คำถามเดิม คือเมื่อมนต์สะกดของ iPad เริ่มถูกถอนได้ด้วย Surface แล้ว!?!
