ไอบีเอ็มเผยผลสำรวจ Global CEO Study ต่างตระหนักผลกระทบของเทคโนโลยี โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียสอดแทรกเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เผยองค์กรจำต้องปรับตัวใน 3 เรื่องเพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งในยุคสังคมแห่งการเชื่อมต่อ บุคลากรเข้าใจความต้องการระดับปัจเจกบุคคล และร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างเข้มข้น
นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เป็นประจำทุกๆ 2 ปีทางไอบีเอ็มได้จัดทำการสำรวจความคิดเห็น “Global CEO Study” ในลักษณะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน 1,709 คนจากทั่วโลก เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผนงานในอนาคตของผู้บริหารเหล่านี้ รวมถึงความท้าทายที่ผู้บริหารต้องเผชิญท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่มีการเชื่อมโยงถึงกันเพิ่มมากขึ้น
โดยทำการสำรวจระหว่างเดือนกันยายน 2554 ถึงมกราคม 2555 ประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างมากก็คือ การจะเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจใหม่ได้อย่างไร ซึ่งถือเป็นคอมมูนิตีใหม่ คนรุ่นใหม่ได้ใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ซึ่งจะเรียกว่าเป็นวิถีชีวิตก็ว่าได้ ปรากฏการณ์โซเชียลมีเดีย โมบิลิตี สิ่งเหล่านี้ได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน ทำให้มีการคิดว่าองค์กรจะเข้าไปอยู่ในส่วนนั้นได้อย่างไร
“จากผลการศึกษาสามารถสรุปเป็นประเด็นสำคัญที่ซีอีโอจะต้องมองใน 3 เรื่อง เรื่องแรกคือ เปิดกว้างการทำงานให้แก่บุคลากร เรื่องที่สอง เป็นการเข้าใจถึงผู้บริโภคในระดับปัจเจกบุคคล และสุดท้าย ความร่วมมือกับพันธมิตร”
นายพรรณสิรีกล่าวต่อว่า ในเรื่องของบุคลากร ซีอีโอในภูมิภาคอาเซียนให้ความสำคัญต่อเรื่องทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์ในการประสานงานร่วมกันสูงถึง 87% ขณะที่ซีอีโอทั่วโลกให้ความสำคญที่ 75% ตามมาด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่ให้น้ำหนักถึง 61% เท่าๆ กับเรื่องความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยให้บุคลากรประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและมีความเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น
“ความมุ่งมั่นที่จะสร้างบรรยากาศในการทำงานที่เปิดกว้างมากขึ้น ซีอีโอจึงมองหาพนักงานที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ โดยซีอีโอมุ่งเน้นการค้นหาพนักงานที่มีความสามารถในการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองและผู้อื่นในขณะที่ก้าวเดินไปข้างหน้า”
เพื่อสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ องค์กรจำเป็นที่จะต้องรับสมัครและว่าจ้างพนักงานที่สามารถทำงานเป็นทีมในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง และขณะเดียวกัน ผู้บริหารจะต้องสร้างและสนับสนุนแนวทางปฏิบัติเพื่อช่วยให้พนักงานประสบความสำเร็จ เช่น กระตุ้นให้มีการจัดตั้งทีมงานในลักษณะที่แปลกใหม่ ส่งเสริมเทคนิคการเรียนรู้จากประสบการณ์ และเสริมสร้างการใช้เครือข่ายพนักงานที่มีประสิทธิภาพสูง
“ต่อไปการว่าจ้างบุคลากรขององค์กรจะไม่สามารถให้นิยามลักษณะตำแหน่งงานอีกต่อไป วิธีการทำงานแบบเดิมๆ ไม่สามารถทำให้องค์กรเติบโตได้อีกต่อไป”
นายพรรณสิรีกล่าวอีกว่า ผลสำรวจในครั้งนี้ซีอีโอให้ความสำคัญต่อปัจจัยเทคโนโลยีเป็นอันดับ 1 ถึง 71% ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ซีอีโอให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ โดยมองว่าเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร ตามมาด้วยทักษะของบุคลากรซึ่งอยู่ที่ 69% ขณะที่ปัจจัยทางด้านการตลาดซึ่งเคยเป็นอันดับ 1 มาโดยตลอดตั้งแต่มีการสำรวจมาก่อนหน้านี้ 4 ครั้ง ตกมาเป็นอันดับ 3 ในการสำรวจครั้งนี้
“วันนี้ เทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย โมบิลิตี ต่างเป็นส่นหนึ่งของวิถีชีวิตของบุคลากรไปแล้ว”
ผลการสำรวจยังระบุว่า บริษัทที่มีผลประกอบการดีกว่าบริษัทอื่นๆ มากกว่า 30% ระบุว่า การเปิดกว้าง (Openness) ในนโยบายขององค์กรในการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อประสานงานและสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกัน ถือเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อองค์กรของตน ปัจจุบันผู้บริหารและซีอีโอกำลังปรับใช้รูปแบบใหม่ในการทำงาน โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกภายในองค์กรและเครือข่ายเพื่อคิดค้นแนวคิดและโซลูชันใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลกำไรและขยายธุรกิจให้เติบโต
“ซีอีโอจะเปลี่ยนจากการใช้อีเมลและโทรศัพท์ที่เดิมเป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร เพื่อกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า คู่ค้า และพนักงานรุ่นใหม่ในอนาคต โดยหันไปใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นช่องทางใหม่สำหรับการติดต่อสื่อสารโดยตรง”
ปัจจุบันมีซีอีโอเพียงแค่ 16% ที่ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลบิสิเนสเพื่อเชื่อมต่อกับลูกค้าแต่ละราย แต่คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มเป็น 57% ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า แนวโน้มนี้มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอาเซียน เพราะคาดว่าการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในอาเซียนจะเพิ่มเป็น 68% จากปัจจุบันที่มีเพียง 25% ขณะที่ซีอีโอในอาเซียนมีแผนที่จะปรับเปลี่ยนจากการติดต่อสื่อสารรูปแบบเดิมๆ ไปสู่การใช้โซเชียลมีเดีย ควบคู่ไปกับการติดต่อพบปะกันเป็นการส่วนตัว
“จะเห็นการนำเครื่องใหม่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ (Business Analytics) เพื่อกลั่นกรองข้อมูลที่ถูกตรวจสอบติดตามทางออนไลน์ บนสมาร์ทโฟน และบนเว็บไซต์โซเชียลมีเดีย 7 ใน 10 ของซีอีโอกำลังดำเนินการลงทุนอย่างจริงจัง เพื่อกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าแต่ละรายจากข้อมูลดิบที่มีอยู่”
นางพรรณสิรีกล่าวอีกว่า แนวโน้มของความร่วมมือกับพันมิตรทางธุรกิจจะมีความเข้มข้นและเหนือความคาดหมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีเป้าหมายในการสร้างสรรค์นวัตกรรมออกมา ทั้งนี้กว่า 2 ใน 3 ของซีอีโอทั่วโลกมีแผนที่จะขยายความร่วมมืออย่างกว้างขวางในอาเซียน ซึ่งตัวเลขนี้อยู่ในระดับสูงกว่าที่ 79%
Company Relate Link :
IBM