เอชพีไทยพร้อมใช้โครงสร้างใหม่ตามบริษัทแม่ที่ยุบเหลือ 2 กลุ่มธุรกิจหลัก “เอนเตอร์ไพรส์-เพอร์ซันนัลแอนด์พรินเตอร์” อย่างเป็นทางการต้นเดือนกรกฎาคมนี้ เชื่อส่งผลให้ทำงานใกล้ชิดขึ้น ขณะที่สถานการณ์ยอดขายโน้ตบุ๊กเริ่มดีขึ้น ล่าสุดจับมือเอสไอเอสตั้งศูนย์สาธิตสตอเรจ HP 3PAR ในไทยแห่งแรก
นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เอชพีในประเทศไทยพร้อมที่จะประกาศใช้โครงสร้างใหม่ตามบริษัทแม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ โดยในส่วนของตลาดทางด้านเอนเตอร์ไพรส์ซึ่งมีด้วยกัน 2 หน่วยธุรกิจ ประกอบไปด้วยกลุ่มเอนเตอร์ไพรส์เซอร์วิส กับส่วนที่เป็นสตอเรจ เน็ตเวิร์กกิ้ง และเซิร์ฟเวอร์ จะรวมกันเป็นกลุ่มธุรกิจที่เรียกว่า เอนเตอร์ไพรส์กรุ๊ป โดยตนจะดูแลในกลุ่มธุรกิจนี้ ขณะที่กลุ่มธุรกิจทางด้านคอนซูเมอร์ ซึ่งเดิมแยกเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ ประกอบไปด้วยกลุ่มธุรกิจเพอร์ซันนัลซิสเต็มส์ ที่ดูแลการทำตลาดโน้ตบุ๊ก เซิร์ฟเวอร์ เวิร์กสเตชัน กับกลุ่มธุรกิจภาพและการพิมพ์ ที่ดูแลเกี่ยวกับธุรกิจการพิมพ์ทั้งหมด จะยุบรวมกันเป็นกลุ่มธุรกิจเดียวภายใต้ชื่อกลุ่มธุรกิจเพอร์ซันนัลแอนด์พรินเตอร์ กรุ๊ป ซึ่งกลุ่มธุรกิจนี้จะมีนายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ ดูแล
“ปัจจุบันการปรับโครงสร้างภายในของเอชพี ประเทศไทยเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่ปรับความเข้าใจในบทบาทใหม่เท่านั้น”
การปรับโครงสร้างในครั้งนี้ นายธนวัฒน์มองว่าจะทำให้การทำงานภายในมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยมั่นใจว่าหลังจากปรับเป็นกลุ่มธุรกิจเพอร์ซันนัลแอน์พรินเตอร์กรุ๊ปแล้วจะสามารถผลักดันยอดขายโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ที่มียอดขายตกลงไปนั้นให้กลับมาดีขึ้นได้อย่างแน่นอน ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มเห็นว่าดีขึ้นเรื่อยๆ
นายธนวัฒน์ยังกล่าวถึงการเปิดศูนย์สาธิตเทคโนโลยีสตอเรจ “HP 3PAR” ของบริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ว่า ทางเอสไอเอสได้เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เก็บข้อมูล HP 3PAR มาตั้งแต่ปี 2554 แล้ว จากการที่เอสไอเอสมีความต้องการที่จะโฟกัสตลาดโซลูชันในตลาดเอนเตอร์ไพรส์มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดสตอเรจที่รองรับการทำงานบนเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง ทางเอชพีจึงได้ร่วมมือกันศึกษาและสำรวจความเป็นไปได้ที่จะจัดตั้งศูนย์สาธิตเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล HP 3PAR ขึ้นในประเทศไทย ถือเป็นศูนย์สาธิตแห่งแรกในประเทศไทยที่ใช้เทคโนโลยี HP 3PAR
“ประโยชน์ที่จะได้จากการมีศูนย์สาธิตนี้ ไม่ว่าจะเป็นรีเซลเลอร์ของเอสไอเอสเอง บริษัทที่สนใจจะลงทุนกับเทคโนโลยีนี้ ที่สามารถเข้ามาชมการสาธิตการทำงานของเทคโนโลยีได้ด้วยตนเอง โดยทางเอชพีจะคอยให้การสนับสนุนทั้งทางด้านผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมไปถึงการจัดทำกิจกรรมร่วมกับเอสไอเอสในการทำตลาดสตอเรจ HP 3PAR ในประเทศไทย”
กลุ่มเป้าหมายที่จะสนใจลงทุนสตอเรจ HP 3PAR นั้นน่าจะเป็นบริษัทที่สนใจการลงทุนสตอเรจที่ใช้เทคโนโลยีคลาวด์ รวมไปถึงบริษัทที่ต้องการแชร์บริการต่างๆ อาทิ กลุ่มธนาคารที่อาจจะสนใจลงทุนคลาวด์แบบบุคคล ถ้าเป็นกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมก็น่าจะเป็นเรื่องคลาวด์แบบสาธารณะ
นายสมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนศูนย์สาธิต HP 3PAR ในครั้งนี้นั้นทางบริษัทเป็นผู้ลงทุนในส่วนฮาร์ดแวร์และสถานที่ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการทำตลาดของหน่วยงานใหม่ที่เรียกว่า แวลูแอดคอมเมอร์เชียล โดยจะโฟกัสการทำตลาดผลิตภัณฑ์ในส่วนของเอนเตอร์ไพรส์ที่เป็นลักษณะของโซลูชันเป็นหลัก รูปแบบการทำงานของหน่วยงานนี้จะอิสระเต็มที่คล้ายๆ เป็นอีกบริษัทหนึ่งในเอสไอเอส โดยมีบุคลากรที่ทั้งโอนย้ายมาและรับใหม่เข้ามาประมาณ 50 คนแล้ว คาดว่าจะมีบุคลากรในส่วนประมาณ 100 คนถึงจะเพียงพอ สำหรับการดูแลรีเซลเลอร์ที่ช่วยในการทำตลาดประมาณ 100 ราย เมื่อเทียบกับกลุ่มลูกค้าของเอสไอเอสทั้งหมดที่มีอยู่ 5,000 ราย
“จริงๆ แล้วทางเอสไอเอสทำตลาดนี้มานานแล้ว เพียงแต่การตั้งหน่วยธุรกิจนี้ขึ้นมาเพื่อให้โฟกัสการทำตลาดในลักษณะของโซลูชันมากขึ้น จากเดิมที่พนักงานขายคนเดียวขายสินค้าทุกตัว แต่ครั้งนี้จะโฟกัสมากขึ้น โดยจะมีทั้งทีมขายและทีมซัปพอร์ต ตลาดเอนเตอร์ไพรส์นี้ถือว่ายังมีมาร์จิ้นที่สูงกว่าการขายในตลาดคอนซูเมอร์”
นายสมชัยกล่าวอีกว่า การเติบโตของดาต้าในประเทศไทยถือว่าเติบโตขึ้นมาก ถึงแม้ว่าอาจจะยังไม่เท่ากับในต่างประเทศก็ตาม โดยเฉพาะถ้าเป็นคลาวด์สตอเรจแล้ว HP 3PAR เป็นสตอเรจที่มีเทคโนโลยีอยู่ในชั้นแนวหน้าเลย ดังจะเห็นว่าผู้ให้บริการคลาวด์แบบสาธารณะติดอันดับท็อป 5 ของโลกใช้ HP 3PAR ถึง 4 ใน 5 ราย และที่สำคัญ HP 3PAR นั้นมีผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดเอนเตอร์ไพรส์ขนาดกลางจนถึงเอนเตอร์ไพรส์ขนาดใหญ่
“การลงทุนระบบไอทีในตลาดเอนเตอร์ไพรส์ยังดีอยู่ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่ากลุ่มธุรกิจใหม่นี้จะมีรายได้ประมาณ 1 พันล้านบาทปลายๆ โดยปีที่แล้วเอสไอเอสมีรายได้จากตลาดเอนเตอร์ไพรส์ประมาณ 1 พันล้านบาทต้นๆ แต่ถ้าเทียบกับรายได้ของเอสไอเอสทั้งกลุ่มที่ในปีที่แล้วจบที่ 22,700 ล้านบาทนั้น ซึ่งอาจจะมองว่ายังเล็กอยู่ แต่เชื่อว่าแนวโน้มการเติบโตยังถือว่ามีสูงมาก ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีการลงทุนในกลุ่มธุรกิจนี้ทั้งปีประมาณ 20-30 ล้านบาท”
Company Related Link :
HP