xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ใช่มวลน้ำ พบองค์กรใน APAC ไม่พร้อมรับมือ"มวลข้อมูล"ขนาดมหึมา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชัน ร่วมกับไอดีซี เผยผลสำรวจโครงสร้างพื้นฐานระบบจัดเก็บข้อมูลสำหรับธุรกิจทั่วไป เป็นผลจากปัญหาการขยายตัวของข้อมูล กว่า 50% ขององค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไม่ได้มีการวางแผนหรือคาดการณ์ไว้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ของข้อมูลขนาดมหึมาหรือ Big Data ระบุองค์กรจำเป็นต้องนำโซลูชันและเทคโนโลยีคลาวด์ขั้นสูงมาใช้

บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชัน จำกัด หรือ เอชดีเอส ธุรกิจในเครือของบริษัท ฮิตาชิ จำกัด ให้การสนับสนุนไอดีซี บริษัทวิจัยตลาดไอทีชื่อดังในการสำรวจ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับกลยุทธ์และปัญหาต่างๆ ในด้านการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูล ภายใต้หัวข้อ “The Changing Face of Storage: A Rethink of Strategy that Goes Beyond the Data” โดยทาง ไอดีซี ได้ทำการสำรวจผู้บริหารด้านไอทีจำนวน 150 รายจากองค์กรขนาดใหญ่ในประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน ฮ่องกง อินเดีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2554

“ผลสำรวจในระดับภูมิภาคครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตและความเข้าใจในการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีอยู่อย่างหลากหลาย โดยความเกี่ยวเนื่องกันของข้อมูลและการจัดการกับการขยายตัวของข้อมูลนั้นติดอันดับปัญหาทั่วไปห้าอันดับแรก ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า จำเป็นที่จะต้องมีเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับข้อมูลขนาดมหึมา” ไซมอน พิฟฟ์ รองประธานร่วมฝ่ายวิจัยโครงสร้างพื้นฐานสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไอดีซี กล่าว

เควิน เอกเกิลสตัน รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์เชื่อว่า ข้อมูลและสารสนเทศจะต้องได้รับการจัดเก็บ ควบคุมและจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้มุมมองและนวัตกรรมที่จะนำไปสู่มูลค่าเชิงกลยุทธ์และการแข่งขัน

การนำเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้งาน เช่น บริการคลาวด์ ไม่เพียงแต่ทำให้องค์กรขนาดใหญ่สามารถจัดการกับการขยายตัวของข้อมูลได้เท่านั้น แต่ยังช่วยในด้านการรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อสร้างสารสนเทศที่มีค่าอย่างยิ่งได้ โดยกลยุทธ์สามระดับชั้น ได้แก่ ระบบคลาวด์สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน ระบบคลาวด์สำหรับเนื้อหา และระบบคลาวด์สำหรับสารสนเทศใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบไดนามิกและช่วยให้เนื้อหามีความคล่องตัวอย่างมากซึ่งนั่นจะนำไปสู่การสร้างมุมมองที่รวดเร็วและครอบคลุมยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่จัดเก็บไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

***ความกังวลสามอันดับแรก

จากการสำรวจตลาดเอเชียแปซิฟิกพบว่า ผู้บริหารด้านไอทีส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของข้อมูล โดย 56% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า สิ่งนี้เป็นปัญหาใหญ่ อย่างไรก็ตาม 39% ระบุว่ามีระดับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพิ่มขึ้น และ 36% ระบุว่า การจัดการระบบจัดเก็บข้อมูลสำหรับเซิร์ฟเวอร์เสมือนเป็นปัญหาสำคัญ แม้ว่าข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างจะกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าองค์กรหลายแห่งยังคงใช้ประโยชน์ข้อมูลดังกล่าวในระดับที่ต่ำมาก

ผู้ตอบแบบสำรวจ 67% เชื่อว่า โครงสร้างพื้นฐานระบบจัดเก็บข้อมูลในปัจจุบันของตนมีศักยภาพเพียงพอสำหรับการใช้งานในอีก 12 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสำรวจในจำนวนที่มากถึง 72% กลับไม่มี กลยุทธ์ที่จะจัดการกับการขยายตัวของข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง ได้แก่ มัลติมีเดียขนาดใหญ่ ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต หรือข้อมูลขนาดมหึมา ในระดับหลายกิกะไบต์ชนิดอื่นๆ ซึ่งขณะนี้ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในฐานะที่เป็นทรัพยากรด้านการแข่งขันสำหรับทำเหมืองข้อมูลและการใช้งานอื่นๆ ทางด้านธุรกิจ

นอกจากนี้ 64% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังระบุด้วยว่า องค์กรธุรกิจต้องการการวิเคราะห์เชิงลึกที่เกินกว่าขีดความสามารถของระบบเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่พวกเขามีนั้นมีความเกี่ยวโยงกัน สามารถปรับใช้ได้อย่างทันท่วงทีและเป็นประโยชน์ จะเห็นได้ว่าการขยายตัวของข้อมูลกำลังแซงหน้าความสามารถด้านการจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ

“ข้อมูลจำเป็นต้องได้รับการแบ่งปัน เปรียบเทียบ วิเคราะห์และสร้างให้เห็นภาพรวมที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังจะต้องสามารถเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นสารสนเทศเพื่อใช้สร้างมุมมอง ดูแนวโน้ม และใช้คาดการณ์สิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในเชิงรุก” เอกเกิลสตันกล่าวและว่า “ระบบคลาวด์สำหรับสารสนเทศมีศักยภาพอย่างมากเนื่องจากสามารถวิเคราะห์เนื้อหาได้อย่างอิสระโดยไม่ยึดติดกับแอปพลิเคชันหรือสื่อข้อมูลใดๆ อีกทั้งยังช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดมหึมาสอดคล้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนั่นจะนำไปสู่มุมมองเชิงลึกที่มีความเกี่ยวข้องกันยิ่งกว่าเดิม ผลักดันให้เกิดนวัตกรรม การวิจัยขั้นสูง ช่วยให้การทำงานร่วมกันดียิ่งขึ้น และสร้างสังคมที่ยั่งยืนได้ในท้ายที่สุด”

***จำเป็นต้องปรับใช้เทคโนโลยีล่าสุด

องค์กรหลายแห่งที่ทำแบบสำรวจระบุว่า 48% ได้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดเพื่อปรับสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีอยู่ให้มีความเหมาะสมสูงสุด หรือเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ถึง 52% ตามแนวทางที่ต้องการเพื่อจัดการกับข้อกังวลสูงสุดที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม รายละเอียดที่แท้จริงของการตอบสนองต่อเทคโนโลยีเฉพาะสำหรับระบบจัดเก็บข้อมูลนั้นได้ชี้ให้เห็นว่า นี่คือสิ่งที่องค์กรขนาดใหญ่กำลังต้องการดำเนินการแต่ยังไม่ได้มีการดำเนินการ

ผลสำรวจยังระบุถึงเทคโนโลยีอะไรที่องค์กรจะนำมาใช้งาน ระบบเสมือนจริง นำโด่งที่ 60% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ตามมาด้วยการกู้คืนระบบจากความเสียหาย ที่ 44% และ 37% เป็นการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยโดยผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าได้มีการนำระบบเสมือนจริงมาใช้งานแล้วกว่า 50% สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น การบีบอัดข้อมูล การจัดลำดับชั้นข้อมูล และการจัดสรรพื้นที่ของระบบจัดเก็บข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ (Thin Provisioning) ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย

จากการสำรวจยังพบด้วยว่า 12% ของผู้ตอบแบบสอบถามกำลังใช้บริการระบบจัดเก็บข้อมูลแบบคลาวด์ และยังมีอีก 23% ที่ระบุว่า กำลังอยู่ในระหว่างการเลือกบริการดังกล่าวเข้ามาใช้งาน ทั้งนี้ คาดว่าการนำระบบคลาวด์เข้ามาใช้งานนั้นยังอยู่ในระดับเริ่มต้นและอาจมีการขยายตัวมากขึ้นในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า

สำหรับความกังวลสูงสุดเกี่ยวกับการนำระบบจัดเก็บข้อมูลแบบคลาวด์เข้ามาใช้ คือ เรื่องของความปลอดภัย (48%) ตามมาด้วยการสูญเสียความสามารถในการควบคุม ระดับราคา และการลาจัดการข้อมูลได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ตามผู้ตอบแบบสำรวจ 34% กลับไม่มีปัญหาหรือไม่มีความกังวลเกี่ยวกับบริการคลาวด์ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่องค์กรหลายแห่งมีแผนพิจารณานำระบบจัดเก็บข้อมูลแบบคลาวด์มาใช้งานในอนาคตและอาจเร็วกว่านั้นหากองค์กรในภูมิภาคแห่งนี้ตระหนักถึงข้อดีที่มีอยู่เป็นจำนวนมากของระบบคลาวด์
กำลังโหลดความคิดเห็น