งานใหญ่ประจำปีของค่ายมือถือยักษ์ใหญ่สัญชาติฟินแลนด์ "โนเกีย" เริ่มต้นขึ้นแล้ว ภายใต้ชื่องาน โนเกีย เวิลด์ 2011 เป็นงานใหญ่ประจำปีสำหรับลูกค้า พันธมิตร นักพัฒนารวมถึงนักข่าวจากทั่วโลก คล้ายๆ กับงานเดเวลลอปเปอร์ของอินเทล หรือแอปเปิล ที่มักจะมีการประกาศนวัตกรรม ที่ใช้ทำตลาดทั่วโลก โดยทางโนเกียระบุว่า งานนี้มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 3,000 คน กินเวลา 2 วันเต็มๆ ณ มหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งจัดที่นี่เป็นปีที่สองติดต่อกัน ระหว่างวันที่ 25-26 ตุลาคม
สิ่งที่ทางโนเกียนำมาโชว์ในงานนี้ มีด้วยกัน 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการแถลงกลยุทธ์ของโนเกียที่จะเดินไปในปี 2555 ว่า เป็นอย่างไร โดยจะมีพันธมิตรทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์รวมถึงบริการต่างๆ ในงานมีเชิญผู้บริหารระดับท็อปๆ เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
ไม่ว่าจะเป็น Noel Lee ซีอีโอ Monster พันธมิตรที่ซัปพรายอุปกรณ์เสริมด้านลำโพง หูฟัง พลังเสียงสุดเจ๋งซึ่งในงานนี้ ทางโนเกียจัดเต็มตั้งแต่หูฟัง ลำโพง สมอร์ลทอล์ก Loic ซีีอีโอของ Seesmic และเป็นผู้ก่อตั้ง LeWeb ฯลฯ
แต่ที่แน่ๆ พันธมิตรรายสำคัญอย่าง ไมโครซอฟท์ ก็จัดเต็มไม่แพ้กันส่งทีมผู้บริหารที่ดูแล วินโดวส์ โฟนมาทีมใหญ่ อย่าง Joe Belfiore Corporate Vice President Windows Phone Program ไมโครซอฟท์ ผู้บริหารที่ถ้ามองเผินๆ หรือไม่เคยรู้จักมาก่อนคงคิดว่า น่าจะเป็นเหมือนนักพัฒนาโปรแกรม แต่จริงๆ เป็นผู้บริหารระดับสูงสุดที่ดูแลเรื่องวินโดวส์โฟนโดยตรง
ส่วนที่ 2 เป็นการโชว์ถึงนวัตกรรมโทรศัพท์มือถือ บริการ ตลอดจนอุปกรณ์เสริมที่จะวางขายในปีหน้า ไฮไลท์ของงานโนเกีย เวิลด์ในปีนี้คงจะหนีไม่พ้นการเปิดตัว มือถือที่ใช้ระบบปฏิบัติการ วินโดวส์โฟน ซึ่้งเป็นข้อตกลง ร่วมมือในรูปแบบพันธมิตรทางธุรกิจชนิดที่เรียกว่า 'ติดเป็นปาท๋องโก้'
ในซีกของไมโครซอฟท์หวังพึ่งพาบุญโนเกียที่มีฐานลูกค้ามือถือที่มียอดจำหน่ายเป็นเบอร์หนึ่งที่ทุกคนต่างมองว่า กำลังอยู่ในช่วงขาลง ไม่เหมือนการก้าวสู่ตลาดสมาร์ทโฟนโลกอย่างที่แอปเปิลดันไอโฟนจนเกินในตลาดโลกมาแล้ว ขณะที่โนเกียเองก็หวังที่จะพึ่งระบบปฏิบัติการ วินโดวส์โฟนของไมโครซอฟท์มากอบกู้สถานการณ์ของตน
กว่า 8 เดือน นับตั้งแต่ซีอีโอทั้งสองบริษัทตกลงร่วมมือกัน ในที่สุด โนเกียก็เปิดตัวสมาร์ทโฟนบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟน ที่ก่อนหน้านี้ คาดการณ์ไปต่างๆ นานาว่าจะออกมากี่รุ่น หลายฝ่ายต่างมองว่า อยากเก่งแค่ 1 รุ่นก็ดีถมไปแล้ว แต่แล้วงานนี้ทางโนเกียกลับเลือกที่จะเปิดตัวพร้อมกัน 2 โมเดลในงาน
Nokia Lumia 800 ที่มาสนนราคา 420 ยูโรในตลาดยุโรป ส่วนราคาขายในไทยยังไม่เคาะหรือนำเข้ามาทำตลาดภายในเร็วๆ นี้ แน่นอนคาดว่าน่จะเป็นปีหน้าด้วยซ้ำไป จากการที่ต้องรอพัฒนาภาษาไทย ให้เข้ากับระบบปฏิบัติการด้วย
เจ้า Nokia Lumia 800 หากดูจากรูปลักษณ์โดยรวมแล้วจะพบว่า มีหน้าตาคล้ายคลึงกับ N9 มาก เนื่องจากทางโนเกียได้ดึงจุดเด่นทางด้านดีไซน์ใน N9 มาใช้นั้นเอง จึงทำให้ Lumia 800 จึงมีดีไซน์หลายๆ ด้านที่เหมือนกันมากถ้าใครไม่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ N9 มาก่อนอาจจะเข้าใจว่าตัวเดียวกันได้ มีสีให้เลือก 3 สี ประกอบไปด้วย สีฟ้า สีชมพู และสีดำ น้อยกว่า N9
ลำดับถัดมาคือขนาดของเครื่อง Lumia 800 เท่ากับ N9 เลย แต่ด้วยค่าตัวที่เปิดตัวออกมาภายในงานได้รับเสียงฮือฮาจากผู้เข้าร่วมงานอย่างมาก ซึ่งถ้าคำนวณเป็นเงินไทย ณ ค่าเงิน 40 บาทต่อ 1 ยูโรแล้ว อยู่ในระดับหมื่นกลางๆ นิด น่าจะถูกกว่า N9 ซัก 2-3 พันบาทได้ แต่ทว่าจะต้องแลกกับสเปกของจอภาพที่เป็น AMOLED ClearBlack 3.7 นิ้ว ที่เล็กลงเล็กน้อย .2 นิ้ว ทางโนเกียเพิ่มมิติของจอภาพที่เวลาลูบนิ้วจากขอบเครื่องมาถึงจอจะรู้สึกว่าโค้งมือนิดๆ โดยใช้จอที่เรียกว่า 2.5D curved glass seamlessly มาใช้นั่นเอง ซึ่งเชื่อมต่อกับตัวเครื่องได้อย่างสวยงามดูแล้วเพรียวบาง
หากดูสเปกภายเครื่องภายใน โนเกียใส่ซีพียูความเร็ว 1.4 GHz มาพร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฮาร์ดแวร์ ทำให้ระบบประมวลผลทำงานได้เร็วขึ้น เมื่อทำงานร่วมกับ วินโดวส์โฟนตัวใหม่ "แมงโก้" ด้วยแล้ว ถือว่า ใช้งานได้ราบลื่น ไม่มีอาการหน่วงมือ ยิ่งใช้งานเบราว์เซอร์ประจำเครื่อง อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเลอร์ 9 หรือไออี9 ก็ถือว่าเร็วใช้ได้
หน่วยความจำภายในเครื่องให้มา 16GB ถ้าไม่พอโนเกียก็มี ฟรี SkyDrive ที่เป็นหน่วยความจำออนไลน์ขนาด 25 GB เพื่อเก็บรูปภาพและเพลงโปรดมาให้ดูคล้ายๆ กับบริการของค่ายผลไม้ที่เพิ่งให้บริการไปก่อนหน้านี้
ถ้าใครคิดว่า Lumia 800 ดูสูงไป โนเกียก็มี Nokia Lumia 710 เป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟนเช่นกัน แต่มีราคาถูกว่า โดยตั้งราคาไว้ที่ 270 ยูโร ซึ่งเสียงตอบรับในงานดังกว่าตอนบอกราคา Lumia 800 เสียอีก ทางโนเกียบอกว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่สร้างขึ้นโดยต้องการให้ความสำคัญกับการใช้งานในรูปแบบที่ปรับแต่งได้ตามใจผู้ใช้ที่สามารถฝาหลังเปลี่ยนได้พร้อมแอปพลิเคชั่นนับพัน
หน้ากากด้านหน้าของ Lumia 710 มาให้เลือก 2 สี สีขาวกับสีดำ ลูกเล่นเปลี่ยนสีอยู่ที่ฝาหลังซึ่งเคยเป็นจุดขายของโนเกียในอดีตที่อาจจะย้อนไปไกลหน่อย โดยมีให้เลือก 5 สี ประกอบไปด้วย สีดำ ขาว ฟ้า ชมพูและเหลือง
เมื่อดูถึงจอภาพจะด้อยกว่า Lumia 800 เยอะหน่อย เป็นจอแบบ WVGA (800x480) TFT แต่ยังเป็นเทคโนโลยี ClearBlack ใช้ซีพียูความเร็ว 1.4 GHz เช่นกัน มาพร้อมระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟน "แมงโก้" เช่นเดียวกัน พร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฮาร์ดแวร์
นั่นคือภาพคร่าวๆ เกี่ยวกับนางเอกของงานนี้ ส่วนพระรองก็ยังมี ฟีเจอร์โฟน ซึ่งถือเป็นตลาดที่ยังทำให้โนเกียเป็นผู้นำในตลาดมือถือของโลกอยู่ ซึ่งโนเกียจะยังคงพัฒนาและสร้างมือถือรุ่นใหม่ๆ เข้ามาขายอย่างต่อเนื่อง ฟีเจอร์โฟนที่เปิดตัวในงานนี้ ทางโนเกียได้เพิ่มเทคโนโลยี location-aware เข้ามา รวมไปถึงฟีเจอร์ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตรวมถึงแอปดังๆ ที่ใช้งานในสมาร์ทโฟน อย่าง WhatApp หรือเกมดังอย่าง Angry Bird
ไล่กันตั้งแต่ Nokia Asha 300 Nokia Asha 303 Nokia Asha 200 และ Nokia Asha 201 โดยโนเกียต้องการผสานประสบการณ์สมาร์ทโฟนลงในโทรศัพท์มือถือในรูปแบบของคีย์บอร์ด QWERTY และหน้าจอสัมผัส เชื่อมต่ออินเตอร์ได้รวดเร็วและง่ายดาย พร้อมเข้าถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ ระบบรับส่งข้อความ และแอปพลิเคชันดีๆ จากโนเกีย สโตร์ โดยราคาขายจะเริ่่มต้นที่ 60 ยูโร จนถึง 115 ยูโร
นี่เป็นเพียงบางส่วนของของงาน Nokia World ในปีนี้ รายละเอียดของงานส่วนที่เหลือจะมีตามมาหลังจากนี้
Company Relate Link :
Nokia