เอชพีใช้การลดค่าใช้จ่ายนำเทคโนโลยีในการรุกตลาดดีไซน์เจ็ต (เครื่องพิมพ์หน้ากว้าง) พร้อมส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ลงตลาด 3 รุ่น คลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย หวังดันส่วนแบ่งตลาดจาก 80% เป็น 90% ในปี 2553
นายกฤษณ์ กิตติทัตน์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ซัปพลายและกราฟิก โซลูชัน บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) หรือเอชพี กล่าวว่า ขณะนี้เอชพีมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มเครื่องพิมพ์หน้ากว้าง หรือดีไซน์เจ็ตในไทยประมาณ 80% และต้องการขยายฐานลูกค้ารวมถึงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มมากขึ้นในปี 2553 จึงได้เพิ่มสินค้าใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เอชพีเห็นว่าสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญขณะนี้คือเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการออกแบบ จึงได้มีการวางกลยุทธ์ในการรุกตลาดสำหรับปี 2553 ไว้คือ 1.การลดค่าใช้จ่ายเวลาออกแบบที่ต้องใช้เวลาและคุณภาพก่อนนำไปพิมพ์ ทั้งนี้ หากพิมพ์ออกมาไม่ดีก็ต้องพิมพ์ใหม่ ซึ่งก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มรวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวการบริหารโครงการหรือเวิร์กโฟลว์ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการออกแบบในหลายๆ ส่วนก่อนจะนำมาประกอบกัน จึงต้องมีเน็ตเวิร์ก มีเวิร์กโฟลว์
2.สามารถเชื่อมต่อได้ตลอดเวลาทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งสามารถทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้ 3.ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการผลิตต้องเชื่อมต่อกันได้ ไม่ให้เกิดความเหลื่อมกัน 4.ต้องใช้งานง่าย ไม่ว่าจะเป็นโซลูชัน เน็ตเวิร์ก เวิร์กโฟลว์ รวมถึงซอฟต์แวร์เพราะจะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้
'กลยุทธ์ที่ใช้เน้นความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ทิศทางของเอชพีจึงเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมจะผลักดันด้านเทคโนโลยีในการทำตลาด แต่ในภาวะเช่นนี้เราจะใช้เรื่องของการลดค่าใช้จ่าย คือไม่ได้ใช้กลยุทธ์เทคโนโลยีนำ แต่ใช้การลดค่าใช้จ่ายนำแทน”
กลยุทธ์ดังกล่าวเป็นแผนธุรกิจของเอชพีที่จะรุกตลาดดีไซน์เจ็ตในปี 2553 พร้อมทั้งเปิดตัวดีไซน์เจ็ตใหม่ 3 รุ่นคือเครื่องพิมพ์เอชพี ดีไซน์เจ็ต ที1200 ซีรีส์ เจาะกลุ่มเอ็นจิเนียริ่งขนาดกลางถึงใหญ่,ที770 ซีรีส์ เน้นกลุ่มเอสเอ็มบี และที620 ซีรีส์ เน้นกลุ่มที่เริ่มใช้งานหรือเอนทรี เลเวลล์
เอชพียังเปิดตัวโซลูชันซอฟต์แวร์ 4 โซลูชันเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตการทำงาน ลดค่าใช้จ่ายและการพิมพ์คุณภาพสูงเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และจากกลยุทธ์ที่วางไว้ คาดว่าภายในปี 2553 จะทำให้ตลาดดีไซน์เจ็ตในไทยโตขึ้น 27% หรือเอชพีจะมีส่วนแบ่งตลาดถึง 90% ขณะที่อัตราการโตของตลาดนี้โดยรวมในปีหน้าจะมีประมาณ 9%
Company Related Links :
HP