ไอซีที ร่วมมือแบงก์ชาติ เตรียมพร้อมควบคุม บริการ e-Payment หลังพ.ร.ก.ควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ มีผลบังคับใช้ 14 ม.ค.นี้โดยผู้ให้บริการต้องรีบยื่นขอใบอนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน 12 ก.พ.-16 มี.ค. ก่อนพ้นระยะผ่อนปรนให้บริการ 13 พ.ค.ที่จะถึงนี้
นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะรองประธานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันพุธที่ 14 มกราคม 2552 เป็นต้นไป พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2551 จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งในพ.ร.ก.ฉบับนี้ได้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Electronic payment (e-Payment) ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้จนถึงวันที่ 13 พ.ค. 2552 แต่ถ้าประสงค์จะทำธุรกิจ e-Payment ต่อไป ผู้ให้บริการจะต้องยื่นแบบแจ้งให้ทราบ หรือขอขึ้นทะเบียน หรือขอรับใบอนุญาตแล้วแต่กรณี ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 12 ก.พ. -16 มี.ค. 2552 ซึ่งหากพ้นจากวันที่ 13 พ.ค. ก็จะไม่สามารถให้บริการต่อไปได้อีก
“หลังจากประกาศพ.ร.ก.ฉบับนี้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว แบงก์ชาติได้มีการจัดประชุมชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการควบคุมดูแลธุรกิจดังกล่าวจากผู้ให้บริการทั้งที่เป็นสถาบันการเงินและมิใช่สถาบันการเงิน ในเดือนพ.ย. 2551 ที่ผ่านมา โดยผู้ให้บริการส่วนใหญ่ต่างให้ความสนใจว่าธุรกิจบริการของตนจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลตามพ.ร.ก.ฉบับนี้หรือไม่ และในลักษณะใด”
ทั้งนี้ธุรกิจ e-Payment ที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลตามพ.ร.ก.ดังกล่าวมีทั้งหมด 8 ประเภท โดยมีจำนวนผู้ให้บริการที่เข้าข่ายตามพ.ร.ก. ดังนี้ 1.การให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) มีจำนวน 25-30 ราย เช่น ไทยสมาร์ทการ์ด ทรูมันนี่ 2.บริการเครือข่ายบัตรเครดิต ไม่มีผู้ให้บริการที่เข้าข่ายเนื่องจากมิได้จดทะเบียนในประเทศไทย 3.บริการเครือข่ายอีดีซี ปัจจุบันยังไม่มีการให้บริการ แต่คาดว่าในอนาคตจะมีการให้บริการในรูปแบบนี้ 4.บริการสวิตชิ่งในการชำระเงิน มีจำนวน 3 ราย เช่น ITMX ศูนย์ประมวลผล PCC 5.บริการหักบัญชี มีจำนวน 4 ราย เช่น TSD ศูนย์ประมวลผล PCC
6.บริการชำระดุล มีจำนวน 3 ราย เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย 7. การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือผ่านเครือข่าย มีจำนวน 52 ราย เช่น ธนาคารพาณิชย์ของไทย สาขาธนาคารพาณิชย์จากต่างประเทศ ผู้ให้บริการที่มิใช่สถาบันการเงิน และ 8.บริการรับชำระเงินแทน มีจำนวน 8 ราย เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย AIS Pay station, Jaymart Pay point
นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังได้มีการจัดทำบัญชีท้ายพ.ร.ก.ฯ โดยพิจารณาจากความเหมาะสมในการป้องกันความเสียหายตามระดับความรุนแรงของผลกระทบที่อาจเกิดจากการประกอบธุรกิจเอาไว้ 3 บัญชี เพื่อให้ผู้ให้บริการได้ทราบว่าธุรกิจของตนจะต้องดำเนินการในลักษณะใด โดยบัญชี ก เป็นธุรกิจที่ต้องแจ้งให้ทราบ ซึ่งได้แก่ การให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ที่ใช้ซื้อบริการจากผู้ให้บริการเพียงรายเดียว ยกเว้นการให้บริการที่ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคโดยมิได้แสวงหาผลกำไร เช่น บัตรแลกซื้ออาหารในศูนย์อาหาร เป็นต้น
ส่วนบัญชี ข เป็นธุรกิจบริการที่ต้องขอขึ้นทะเบียน ซึ่งได้แก่ บริการเครือข่ายบัตรเครดิต บริการเครือข่ายอีดีซี บริการสวิตชิ่งในการชำระเงินระบบใดระบบหนึ่ง และการให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ที่ใช้ซื้อบริการเฉพาะอย่างตามรายการที่กำหนดไว้ล่วงหน้าจากผู้ให้บริการหลายราย ณ สถานที่ที่อยู่ภายใต้ระบบการจัดจำหน่ายและการให้บริการรายเดียวกัน เช่น บัตรเติมน้ำมันของบริษัทน้ำมัน
และบัญชี ค เป็นบัญชีที่ต้องขอรับใบอนุญาต ซึ่งได้แก่ บริการสวิตชิ่งในการชำระเงินหลายระบบ บริการหักบัญชี บริการชำระดุล บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือผ่านเครือข่าย บริการรับชำระเงินแทน และการให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ที่ใช้ซื้อบริการเฉพาะอย่างตามรายการที่กำหนดไว้ล่วงหน้าจากผู้ให้บริการหลายราย โดยไม่จำกัดสถานที่และไม่อยู่ภายใต้ระบบการจัดจำหน่ายและการให้บริการเดียวกัน เช่น บัตรเงินสดของเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นต้น
นายสือกล่าวว่าคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงไอซีที และธนาคารแห่งประเทศไทย ยังได้มีการร่างประกาศที่ออกตามความในพ.ร.ก.ฯ อีก 4 ฉบับ เพื่อรองรับกับการประกาศและบังคับใช้พ.ร.ก.ดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์ ตลอดจนใช้ควบคุมดูแลธุรกิจบริการ e-Payment คือ ร่างประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ร่างประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ตามบัญชี ก ที่ไม่ต้องแจ้งให้ทราบก่อนให้บริการร่างประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และร่างประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง นโยบายและมาตรการการรักษาความปลอดภัยทางระบบสารสนเทศในการประกอบธุรกิจของผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับร่างประกาศทั้ง 4 ฉบับนี้ได้ผ่านความเห็นชอบในหลักการจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ ในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์แล้ว รวมทั้งผ่านการจัดประชุมชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ให้บริการและประชาชนทั่วไป ตลอดจนการพิจารณารูปแบบและถ้อยคำจากฝ่ายกฎหมายและคดีของธนาคารแห่งประเทศไทย และได้เสนอให้คณะอนุกรรมการโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายเพื่อพิจารณา จากนั้นนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และรับทราบก่อนจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและบังคับใช้ต่อไป
Company Related Links :
MICT