ยอดการดาวน์โหลดเพลงผ่านออนไลน์และโทรศัพท์มือถือที่มูลค่า 1,500 ล้านบาทในปีนี้ ซ่อนนัยสำคัญเอาไว้ในทีพอสมควร เพราะต้องถือว่าเป็นปีที่ธุรกิจให้ดาวน์โหลดริงโทนรายเล็กรายน้อยพากันเดินพาเหรดหาที่ตายกันเป็นแถว แต่บรรดาค่ายเพลงที่หันมาทำเองกลับรุ่งขึ้นมาอย่างที่คาดการณ์เอาไว้
จากการตรวจสอบการโฆษณาล่าสุดในหนังสือดารา อย่างเช่น ทีวีพูล พบว่ามีกว่า 50% ที่หดหายไปจากตลาดอย่างสิ้นเชิง งบโฆษณาที่เคยทุ่มผ่านหนังสือดาราเพื่อจับกลุ่มพ่อค้า แม่ค้า สาวโรงงาน หรือแม้กระทั่งเด็กนักเรียนในต่างจังหวัด เม็ดเงินก้อนนี้หดหายไปจนทำให้หนังสือดารากระเทือนไปเลยทีเดียว เพราะเม็ดเงินโฆษณาจากส่วนอื่นนั้นยังไม่กระเตื้องขึ้น
หากมองตัวเลขของเอไอเอสซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ จะพบว่า ยอดที่โหลดผ่านเอไอเอสประมาณ 732 ล้านบาท เป็นเพลงเต็มๆ หรือ Full song download เสีย 5% ขณะที่โลโก้ริงโทนยังครองแชมป์ที่ 58% และเสียงเรียกเข้า หรือ Calling Melody ยังสูง 34% ที่เหลือก็เป็นอื่นๆ 3% ตัวเลขนี้บอกอะไรเราได้บ้าง
ยอดโลโก้ริงโทนนั้นในสองสามปีต่อจากนี้ไปยังคงครองแชมป์อยู่แน่นอน แต่ตัวเลขจะลดลงเรื่อยๆ ยิ่งการเติบโตของเครื่องรุ่นใหม่ที่มีระบบเสียงดีขึ้น นั่นจะทำให้การดาวน์โหลดแบบเพลงเต็มๆ จะค่อยๆ มากขึ้น อย่างเป็นระบบเชื่อว่าภายใน 2-3 ปีนี้โอกาสแซงจะมีมาก
ระบบริงโทนต่อไปจะไม่ต้องมากดตัวเลขเพลงยาวเหยียด จากผู้ให้บริการรายเล็กรายน้อย เพราะจะมีระบบที่ทันสมัยเข้ามาแทนที่ เพราะความสามารถของเครื่องจะทำให้อะไรต่อมิอะไรมันง่ายขึ้น
จากตัวเลขของค่ายเพลงปัจจุบันที่ทำมาหากินในเมืองไทยมีประมาณ 30 กว่าค่ายเพลง พวกนี้จะกลายมาเป็นพระเอก มีทั้งการทำตลาดด้วยตนเอง และมีการรวมกลุ่มกันทำการตลาด ประเภทค่ายเล็กค่ายน้อยรวมตัวกัน และค่ายใหญ่ทำหน้าที่เป็นหน้าร้าน ความหลากหลายนี้จะได้เห็นผลในปีต่อๆ ไป
ส่วนเอกชนรายที่เป็น Content aggregate หรือที่รวมเพลงที่แต่ก่อนมี 200 กว่าราย จะเหลือไม่เกิน 50 ราย พวกนี้แต่ละรายต้องไปหาจุดเด่นส่วนตัวใหม่ ต้องมีบริการพิเศษที่ไม่เหมือนกับรายอื่นๆ การจะเอาเพลงมากมายมารวมกันเป็นหน้าร้านคงต้องหมดยุคไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง เอไอเอส ดีแทค ฯลฯ ไปดีกว่า
ผมเองนั่งสัมภาษณ์ผู้บริหารเอไอเอส ถึงยุทธศาสตร์ใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ นับว่าน่าสนใจอย่างมาก เพราะเอไอเอสนั้นมียอดการดาวน์โหลด 7 ล้านคน ในกลุ่มนั้นมี 2.5 ล้านคนโหลดผ่านเครือข่ายโมบายไลฟ์ ที่สำคัญก็คือมีการดาวน์โหลด 2.5 ล้านครั้งต่อเดือน ต้องถือว่าเอาเรื่องพอสมควร
จากเดิมเอไอเอสถือว่าเป็นโอเปอเรเตอร์ที่ยึดนโยบาย Music Marketing มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการโรดโชว์ การนำพรีเซ็นเตอร์เกี่ยวกับเพลงมาเป็นตัวนำสินค้า รายการประกวดเพลง รายการคอนเสิร์ตทั้งในและต่างประเทศ ต้องมีเอไอเอสเข้าไปสนับสนุนด้วยตลอด แต่หลังจากที่เอไอเอสเดินเครื่องเป็นหน้าร้านเพลงออนไลน์ทั้งดาวน์โหลดผ่านคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือแล้ว นโยบาย Music Marketing ก็ต้องถึงเวลาเปลี่ยนแปลง
ต่อไปศิลปินที่จะให้ยักษ์ใหญ่รายนี้สนับสนุนต้องสอดคล้องกับนโยบายการดาวน์โหลดของโมบายไลฟ์ด้วย จะต้องมีแคมเปญพิเศษ เอาอย่างง่ายๆ เช่นกอล์ฟ เบญจพล จัดคอนเสิร์ต be my guess again ก็มาเชื่อมต่อกับทีวีผ่านมือถือของเอไอเอสแบบแสดงสด มีให้โหลดเพลงราคาถูกกันหน้างาน ฯลฯ
หันกลับไปมองกลุ่มเป้าหมายนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือไม่ คำตอบคือ เด็กวัยรุ่น ยังเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ต่อไป พวกค่ายเพลงกับโอเปอเรเตอร์ก็ต้องรับกับกลุ่มเป้าหมายนี้ให้ได้ เพลงและศิลปินที่รองรับจึงเป็นกลุ่มนี้ก่อน เพราะโอกาสที่จะขายดีกว่าสินค้ากลุ่มอื่นเป็นไปได้สูง
คำถามก็คือ แล้วอะไรที่จะทำให้ใครเป็นแชมป์ดาวน์โหลดได้ในปีต่อๆ ไป คำตอบง่ายๆ แต่ทำยากก็คือ ต้องมีปริมาณเพลงในสต๊อกอยู่จำนวนมาก มีทั้งระบบไม่ว่าจะเป็นเต็มเพลง ริงโทน หรือคอลลิ่งเมโลดี้ มีให้หลายเวอร์ชั่น มีเวอร์ชั่นธรรมดาและพิเศษเฉพาะดาวน์โหลดอย่างเดียวก็จะเวิร์ค ประการต่อไปคือต้องมีแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานง่าย ดาวน์โหลดกันแบบฟรีๆ ไอ้ประเภทมานั่งจำเบอร์หรือดูเอาจากโบรชัวร์นั้นหมดยุค ต่อจากนั้นเพลงที่ใส่เข้าไปในระบบต้องอัปเดทให้ไว ใครออกเพลงใหม่มาต้องมีแล้ว ตรงนี้แหละที่ค่ายเพลงทั้งหลายนั้นได้เปรียบกว่ามาก เพราะสามารถเลือกศิลปินตัวเองเอาไว้โกยในเบื้องต้นก่อนได้
ต่อจากนั้นควรจะมีการทดสอบก่อนจะดาวน์โหลดได้ เพราะการดาวน์โหลดแต่ละครั้งมักจะมีชื่อเพลงซ้ำๆ อาจโหลดผิดกันไปได้ หรือบางทีรู้ท่อนฮุคแต่ไม่รู้จักชื่อเพลง การได้ฟังกันก่อนทำให้การตัดสินใจซื้อเพลงออนไลน์ทำได้ง่ายขึ้น
ประการต่อไปคือ ค่าบริการต้องหลากหลาย หมุนเวียนกันไปตามความเป็นจริง จำได้ว่าเดิมริงโทนเคยแตะอยู่ที่ 10 บาท แล้วขยับมาที่ 30 ไต่ขึ้นเป็น 35 บาท ตอนนี้ก็ลดลงมาเหลือ 25 บาท แล้วมีระบบเหมาจ่ายได้อีก อันนี้คนที่จะทำต้องคิดแพกเกจเหมือนแคมเปญโทรศัพท์มือถือไปเลย
อีกอันหนึ่งคือ เพลงที่จะโหลดต้องเป็นเพลงที่คนซื้อต้องการเลือกเท่านั้น ไอ้ประเภทมาซื้อเพลงกันทั้งอัลบั้มนั้นหมดยุคเสียแล้ว ดังนั้นคนที่ทำเพลงก็เหมือนกับมีซิงเกิลออกมาก่อน ได้ลองตลาดได้ตลอด
หลักง่ายๆ อย่างนี้บอกไปไม่ได้ทำง่ายๆ อย่างที่เขียน เพราะต้องมีอะไรรองรับอีกมากมาย แต่เชื่อว่าแนวโน้มของการดาวน์โหลดจะโตต่อเนื่อง เพียงแต่รูปแบบการดาวน์โหลดจะแตกต่างไปจากเดิม ก็เท่านั้น