กลุ่มสามารถปรับเป้าหมายรายได้อีกครั้ง ประมาณการสิ้นปีรายได้รวมเข้าใกล้ 3 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายเดิม 2.5 หมื่นล้านบาท ล่าสุดตัวเลข 9 เดือนทำรายได้แล้วกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท โดยมีไอ-โมบายเป็นตัวนำ “วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์” เผยอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าซื้อกิจการอีก 2 บริษัท ที่มีอนาคตเพื่อเข้ามาต่อยอดธุรกิจเดิม คาดรายละเอียดเสร็จได้ภายในปีนี้ พร้อมเปิดตัวบริษัทลูก “วิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้” ทำธุรกิจรักษาความปลอดภัยครบวงจร หลังเห็นตลาดมีแนวโน้มเติบโตสูงคาดตลาดรวมปีหน้ามีมูลค้าสูงถึง 3,000 ล้านบาท
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากเดิมที่กลุ่มสามารถตั้งเป้ารายได้สิ้นปี 2549 ไว้ที่ 23,000 ล้านบาท และมีการปรับเป้าหมายอีกครั้งเป็น 25,000 ล้านบาท ล่าสุดคาดว่าตัวเลขที่ปิดสิ้นปีอาจเข้าใกล้ 30,000 ล้านบาท โดยมีตัวเลขได้รวมถึง 9 เดือนได้แล้วประมาณ 24,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2550 ประมาณการรายได้ทั้งกลุ่มน่าจะเกินกว่า 30,000 ล้านบาทอย่างแน่นนอน
รายได้ที่ได้เพิ่มมากขึ้นส่วนหนึ่งมาจากไอโมบายโดยเฉพาะในธุรกิจต่างประเทศที่สามารถทำรายได้มากกว่าการทำตลาดในประเทศ และคาดว่าในปี 2550 ไอโมบายในต่างประเทศจะทำรายได้ได้ถึง 60% และอีก 40% เป็นการทำตลาดไอโมบายในประเทศ
ล่าสุดกลุ่มสามารถอยู่ในระหว่างการพิจารณาในการเข้าซื้อกิจการของ 2 บริษัท ที่เห็นว่ามีศักยภาพมีอนาคตที่ดีเพื่อขยายไลน์ในการทำธุรกิจจากเดิมที่มีอยู่ โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นการพิจารณาได้ประมาณสิ้นปีนี้
“เราจะเลือกเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่เห็นว่ามีอนาคต ต่อยอดธุรกิจเดิม และต้องเป็นธุรกิจที่เราสามารถตอบคำถามของผู้ถือหุ้นได้ว่าเข้าซื้อกิจการหรือถือหุ้นในบริษัทนี้เพราะอะไร ทั้งต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีที่กลุ่มสามารถทำอยู่ โดยจะไม่เข้าไปลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีความรู้เรื่องนั้นมาก่อน หรืออย่างน้อยก็มีพาร์ตเนอร์ที่มีความรู้ในธุรกิจนั้นๆอยู่แล้วเป็นหลักร่วมธุรกิจด้วย โดยคาดว่าจะคัดเลือกมา 2 บริษัทที่เข้าไปซื้อกิจการ หรือร่วมถือหุ้น แล้วแต่จะตกลงกัน โดยสนใจที่เลือกลงทุนในองค์ที่มีขนาดรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท”
ผู้บริหารกลุ่มสามารถกล่าวว่า ปีหน้าจะเห็นกลุ่มสามารถขยายช่องทางในการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่มุ่งอยู่แต่องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ก็จะขยายตลาดไปสู่องค์กรธุรกิจขนาดกลาง และเล็กหรือเอสเอ็มอีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
“ ปีหน้าจะเห็นทุกสายงานของกลุ่มสามารถขยายช่องทางการทำตลาด การจัดจำหน่ายให้มากยิ่งขึ้น ไม่ทำตลาดแค่ลูกค้าองค์กร หรือทำแค่ไดเร็กเซลเพียงอย่างเดียว แต่จะไปทุกเซ็กเม้นต์ รวมทั้งมีการขอไลเซ็นใหม่ของสามารถแซมเทล ในต้นปีหน้าเพื่อทำธุรกิจVOIPและเกตเวย์ ”วัฒน์ชัยกล่าว
ก่อนที่จะเลือกเข้าไปลงทุนในอีก 2 บริษัท เมื่อวานนี้ (22.พ.ย.) กลุ่มสามารถเปิดตัว “บริษัท วิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้” ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท ในนามบริษัทลูกของกลุ่มสามารถเพื่อเข้ามารุกธุรกิจระบบรักษาความปลอดภัยอย่างครบวงจร โดยกลุ่มสามารถเข้าถือหุ้นในบริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ 70%และอีก 30% เป็นของทีมผู้บริหาร
กลุ่มสามารถมองเห็นแนวโน้มของตลาดอุปกรณ์ระบบรักษาความปลอดภัยว่ามีแนวโน้มเติบโตสูง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายของภาครัฐที่มุ่งเน้นให้เกิดการรักษาความปลอดภัยมากขึ้นเพื่อปัองกันการก่อการร้ายที่รุกรานอยู่ขณะนี้ โดยคาดว่าในปี 2550 ตลาดรวมจะมีมูลค่าถึง 3,000 ล้านบาทโดยส่วนใหญ่เป็นตลาดกล้องวงจรปิด และอีก 2-3 ปีข้างหน้าตลาดจะขยายตัวมีมูลค่ารวมถึง 4,000-5,000 ล้านบาท
บริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ ครอบคลุมการให้บริการตั้งแต่การจำหน่าย ติดตั้ง ซ่อมบำรุง กล้องวงจรปิด โดยทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในธุรกิจระบบรักษาความปลอดภัยมากว่า 20 ปี โดยมี “ สมหมาย ดำเนินเกียรติ” นั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทำให้ตั้งแต่เปิดให้บริการมาประมาณ 1 ปี ได้ลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่หลายโครงการเช่น กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนามบินสุวรรณภูมิ และได้เป็นผู้ติดตั้งกล้องวงจรปิดให้กับงานพืชสวนโลก 2549 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรายได้รวมจากโครงการต่างๆในปี 2549 ถึง 200 ล้านบาท
ในปี 2550 บริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ จะเน้นทำตลาดใน 3 ส่วนหลักคือ องค์กรขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน ลูกค้าองค์กรขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี และลูกค้ารายย่อยหรือผู้บริโภคทั่วไป โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ในแต่ละตลาดเป็น 60% 30% และ 10% ตามลำดับ โดย 2 กลุ่มหลังเป็นส่วนที่ บริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้เพิ่งขยายการทำตลาด จากเดิมที่มุ่งเน้นองค์กรขนาดใหญ่ โดยจะเริ่มเปิดตัวแคมเปญเพื่อตลาดองค์กรขนาดกลางและเล็กหรือเอสเอ็มอีตั้งแต่ต้นปี2550 และเปิดตัวโปรดักส์ที่มีราคาตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นเพื่อจับตลาดเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ
เป้าหมายของบริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ในปี 2550 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 100%หรือที่ประมาณ 500 ล้านบาท และอีก 3 ปีข้างหน้าจะก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีรายได้ประดับ 1,000 ล้าน โดยจะมุ่งเข้าประมูลงานและรุกตลาดองค์กรอย่างจริงจังด้วยสินค้าที่ได้มาตรฐานระดับโลก พร้อมเน้นขยายบริการสู่ตลาดผู้บริโภคทั่วไปด้วยการออกสินค้าใหม่ที่ชื่อว่า ไอ-วิชั่น ที่ประกอบด้วยกล้องวงจรปิดและระบบซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยทำให้ผู้ใช้สามารถดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบทันที่ผ่านทางโทรศัพท์มือถือไอ-โมบายผ่านเครือข่ายจีพีอาร์เอสของโอเปอเรเตอร์ โดยคาดว่าจะทำตลาดได้กว่า 7,000 ตัวในปี 2550
“บริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ มีทีมผู้บริหารที่มีความชำนาญในธุรกิจนี้มากว่า 20 ปี มีโปรดักส์ที่มีคุณ เราจะดูแลลูกค้าเราตลอดอายุผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันเรามีส่วนแบ่งในตลาดประมาณ 10% คาดว่าในปี 2009 ส่วนแบ่งในตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% โดยคาดว่าจะได้โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวรภายนอกอาคารที่สนามบินสุวรรณภูมิในส่วนขยายอีกประมาณ 352 ตัว เพิ่มอีกหนึ่งโครงการ” สมหมาย กล่าว
Company Related Links:
Samartcorp
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากเดิมที่กลุ่มสามารถตั้งเป้ารายได้สิ้นปี 2549 ไว้ที่ 23,000 ล้านบาท และมีการปรับเป้าหมายอีกครั้งเป็น 25,000 ล้านบาท ล่าสุดคาดว่าตัวเลขที่ปิดสิ้นปีอาจเข้าใกล้ 30,000 ล้านบาท โดยมีตัวเลขได้รวมถึง 9 เดือนได้แล้วประมาณ 24,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2550 ประมาณการรายได้ทั้งกลุ่มน่าจะเกินกว่า 30,000 ล้านบาทอย่างแน่นนอน
รายได้ที่ได้เพิ่มมากขึ้นส่วนหนึ่งมาจากไอโมบายโดยเฉพาะในธุรกิจต่างประเทศที่สามารถทำรายได้มากกว่าการทำตลาดในประเทศ และคาดว่าในปี 2550 ไอโมบายในต่างประเทศจะทำรายได้ได้ถึง 60% และอีก 40% เป็นการทำตลาดไอโมบายในประเทศ
ล่าสุดกลุ่มสามารถอยู่ในระหว่างการพิจารณาในการเข้าซื้อกิจการของ 2 บริษัท ที่เห็นว่ามีศักยภาพมีอนาคตที่ดีเพื่อขยายไลน์ในการทำธุรกิจจากเดิมที่มีอยู่ โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นการพิจารณาได้ประมาณสิ้นปีนี้
“เราจะเลือกเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่เห็นว่ามีอนาคต ต่อยอดธุรกิจเดิม และต้องเป็นธุรกิจที่เราสามารถตอบคำถามของผู้ถือหุ้นได้ว่าเข้าซื้อกิจการหรือถือหุ้นในบริษัทนี้เพราะอะไร ทั้งต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีที่กลุ่มสามารถทำอยู่ โดยจะไม่เข้าไปลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีความรู้เรื่องนั้นมาก่อน หรืออย่างน้อยก็มีพาร์ตเนอร์ที่มีความรู้ในธุรกิจนั้นๆอยู่แล้วเป็นหลักร่วมธุรกิจด้วย โดยคาดว่าจะคัดเลือกมา 2 บริษัทที่เข้าไปซื้อกิจการ หรือร่วมถือหุ้น แล้วแต่จะตกลงกัน โดยสนใจที่เลือกลงทุนในองค์ที่มีขนาดรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท”
ผู้บริหารกลุ่มสามารถกล่าวว่า ปีหน้าจะเห็นกลุ่มสามารถขยายช่องทางในการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่มุ่งอยู่แต่องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ก็จะขยายตลาดไปสู่องค์กรธุรกิจขนาดกลาง และเล็กหรือเอสเอ็มอีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
“ ปีหน้าจะเห็นทุกสายงานของกลุ่มสามารถขยายช่องทางการทำตลาด การจัดจำหน่ายให้มากยิ่งขึ้น ไม่ทำตลาดแค่ลูกค้าองค์กร หรือทำแค่ไดเร็กเซลเพียงอย่างเดียว แต่จะไปทุกเซ็กเม้นต์ รวมทั้งมีการขอไลเซ็นใหม่ของสามารถแซมเทล ในต้นปีหน้าเพื่อทำธุรกิจVOIPและเกตเวย์ ”วัฒน์ชัยกล่าว
ก่อนที่จะเลือกเข้าไปลงทุนในอีก 2 บริษัท เมื่อวานนี้ (22.พ.ย.) กลุ่มสามารถเปิดตัว “บริษัท วิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้” ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท ในนามบริษัทลูกของกลุ่มสามารถเพื่อเข้ามารุกธุรกิจระบบรักษาความปลอดภัยอย่างครบวงจร โดยกลุ่มสามารถเข้าถือหุ้นในบริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ 70%และอีก 30% เป็นของทีมผู้บริหาร
กลุ่มสามารถมองเห็นแนวโน้มของตลาดอุปกรณ์ระบบรักษาความปลอดภัยว่ามีแนวโน้มเติบโตสูง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายของภาครัฐที่มุ่งเน้นให้เกิดการรักษาความปลอดภัยมากขึ้นเพื่อปัองกันการก่อการร้ายที่รุกรานอยู่ขณะนี้ โดยคาดว่าในปี 2550 ตลาดรวมจะมีมูลค่าถึง 3,000 ล้านบาทโดยส่วนใหญ่เป็นตลาดกล้องวงจรปิด และอีก 2-3 ปีข้างหน้าตลาดจะขยายตัวมีมูลค่ารวมถึง 4,000-5,000 ล้านบาท
บริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ ครอบคลุมการให้บริการตั้งแต่การจำหน่าย ติดตั้ง ซ่อมบำรุง กล้องวงจรปิด โดยทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในธุรกิจระบบรักษาความปลอดภัยมากว่า 20 ปี โดยมี “ สมหมาย ดำเนินเกียรติ” นั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทำให้ตั้งแต่เปิดให้บริการมาประมาณ 1 ปี ได้ลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่หลายโครงการเช่น กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนามบินสุวรรณภูมิ และได้เป็นผู้ติดตั้งกล้องวงจรปิดให้กับงานพืชสวนโลก 2549 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรายได้รวมจากโครงการต่างๆในปี 2549 ถึง 200 ล้านบาท
ในปี 2550 บริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ จะเน้นทำตลาดใน 3 ส่วนหลักคือ องค์กรขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน ลูกค้าองค์กรขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี และลูกค้ารายย่อยหรือผู้บริโภคทั่วไป โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ในแต่ละตลาดเป็น 60% 30% และ 10% ตามลำดับ โดย 2 กลุ่มหลังเป็นส่วนที่ บริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้เพิ่งขยายการทำตลาด จากเดิมที่มุ่งเน้นองค์กรขนาดใหญ่ โดยจะเริ่มเปิดตัวแคมเปญเพื่อตลาดองค์กรขนาดกลางและเล็กหรือเอสเอ็มอีตั้งแต่ต้นปี2550 และเปิดตัวโปรดักส์ที่มีราคาตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นเพื่อจับตลาดเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ
เป้าหมายของบริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ในปี 2550 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 100%หรือที่ประมาณ 500 ล้านบาท และอีก 3 ปีข้างหน้าจะก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีรายได้ประดับ 1,000 ล้าน โดยจะมุ่งเข้าประมูลงานและรุกตลาดองค์กรอย่างจริงจังด้วยสินค้าที่ได้มาตรฐานระดับโลก พร้อมเน้นขยายบริการสู่ตลาดผู้บริโภคทั่วไปด้วยการออกสินค้าใหม่ที่ชื่อว่า ไอ-วิชั่น ที่ประกอบด้วยกล้องวงจรปิดและระบบซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยทำให้ผู้ใช้สามารถดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบทันที่ผ่านทางโทรศัพท์มือถือไอ-โมบายผ่านเครือข่ายจีพีอาร์เอสของโอเปอเรเตอร์ โดยคาดว่าจะทำตลาดได้กว่า 7,000 ตัวในปี 2550
“บริษัทวิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ มีทีมผู้บริหารที่มีความชำนาญในธุรกิจนี้มากว่า 20 ปี มีโปรดักส์ที่มีคุณ เราจะดูแลลูกค้าเราตลอดอายุผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันเรามีส่วนแบ่งในตลาดประมาณ 10% คาดว่าในปี 2009 ส่วนแบ่งในตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% โดยคาดว่าจะได้โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวรภายนอกอาคารที่สนามบินสุวรรณภูมิในส่วนขยายอีกประมาณ 352 ตัว เพิ่มอีกหนึ่งโครงการ” สมหมาย กล่าว
Company Related Links:
Samartcorp