xs
xsm
sm
md
lg

เจาะใจยักษ์ใหญ่เมื่อต้องการ “ทำงานร่วมกัน” ไมโครซอฟท์กับแนวคิด Interoperability

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฟูเกียรติ จุลนวล ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์แพลตฟอร์ม บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย)
ทำความรู้จักกับแนวคิดดี ๆ ของบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ “ไมโครซอฟท์” กับคอนเซ็ปต์ Interoperability ที่ทางบริษัทได้เร่งผลักดันให้เกิดการใช้งานอย่างกว้างขวาง และที่สำคัญแนวคิดดังกล่าวได้สอดแทรกอยู่ในโปรดักซ์ใหม่ของไมโครซอฟท์เอาไว้แล้วด้วย โดยวันนี้ ฟูเกียรติ จุลนวล ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์แพลตฟอร์ม บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จะทำหน้าที่แนะนำเจ้า Interoperability ให้เรารู้จักกันมากขึ้น

Interoperability คืออะไร

Interoperability คือวิธี หรือแนวทางที่จะทำให้ข้อมูลในระบบ หรือคอมโพเนนท์ต่าง ๆ สามารถพูดคุยกันได้ เพราะในโลกปัจจุบัน ระบบขององค์กรหนึ่ง ๆ อาจซื้อมาจากหลายบริษัทแล้วมาต่อเชื่อมเข้าด้วยกัน แนวทางของ Interoperability คือระบบไม่จำเป็นต้องมาจากที่เดียวกัน แต่ต้องสามารถคุยกันได้ ติดต่อสื่อสารกันได้ แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้

การปรากฏตัวของ Interoperability ในโลกไอที

แนวความคิดของ Interoperability เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ในสมัยก่อน ยังเป็นแบบต่างคนต่างทำ บริษัทที่ต้องการจะซัปพอร์ตลูกค้าเพื่อให้สินค้าของตนเองขายได้ก็จะเขียนโปรแกรมเพื่อให้ระบบสามารถทำงานกับเครื่องที่ลูกค้ามีอยู่ก่อนได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคนั้นคือมาตรฐานทางเทคโนโลยีไม่สอดคล้องกัน ทำให้ระบบคุยกันได้ลำบาก นักพัฒนาโปรแกรมก็ลำบาก ลูกค้าก็จะรู้สึกว่าการใช้งานไอทีเป็นเรื่องยากตามไปด้วย

เครื่องมือที่สำคัญของ Interoperability

เครื่องมือสำคัญที่มีส่วนช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลตามแนวทางของ Interoperability คือ รูปแบบไฟล์ XML เพราะข้อมูลแบบ XML จะมีข้อดีคือการแยกส่วนข้อมูลออกจากส่วนประกอบอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น การพิมพ์ตัวอักษร A สักตัวหนึ่ง เราอาจกำหนดสี กำหนดฟอนต์ตัวอักษร กำหนดขนาดตัวอักษร แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ข้อมูลก็คือตัวอักษร A เท่านั้น ไฟล์ข้อมูลแบบ XML จะสามารถแยกเก็บตัวอักษร A ออกจากส่วนเพิ่มเติมเหล่านั้นได้ และเมื่อต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับโปรแกรมของระบบอื่น ๆ ระบบจะเข้าใจและสามารถดึงตัวอักษร A ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

แนวทางการใช้งาน Interoperability

การประยุกต์ใช้ Interoperability มีรูปแบบกว้าง ๆ 4 แบบ ได้แก่ 1. ประยุกต์ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบระบบให้สามารถรองรับการทำงานแบบ Interoperability ได้ 2. บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนหนึ่งให้บริษัทอื่น ๆ ทราบ และสามารถเข้ามาใช้งาน Intellectual Property Licencing (IP Licencing) ขององค์กรได้ เช่น ในไมโครซอฟท์เองมีการเปิดเผยโปรโตคอลในการติดต่อสื่อสาร ตลอดนจนรูปแบบไฟล์ของโปรแกรมออฟฟิศให้กับภาครัฐ สถาบันการศึกษา พาร์ทเนอร์ หรือคู่แข่งให้ทราบเพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

3. เกิดจากการร่วมมือกันระหว่างบริษัท ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทเนอร์กันหรือเป็นคู่แข่งกัน เช่น ไมโครซอฟท์กับโนเกีย หรือไมโครซอฟท์กับซัน ไมโครซิสเต็มส์ ฯลฯ เป็นต้น และสุดท้าย 4. เกิดจากการกำหนดเป็นมาตรฐานของวงการ เช่นการใช้งานไฟล์ PDF, มาตรฐาน 802.1x, รูปแบบไฟล์ XML, TCP/IP เหล่านี้เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งในตัวอย่างที่ยกมานี้ มีทั้งแบบที่เป็นมาตรฐานแบบเปิด และมาตรฐานที่ได้รับการคุ้มครองทางลิขสิทธิ์ จะเห็นได้ว่า การใช้งาน Interoperability ไม่กำหนดอยู่เฉพาะในมาตรฐานแบบเปิดเท่านั้น แต่มาตรฐานแบบปิดก็สามารถรองรับ Interoperability ได้ด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับองค์กรธุรกิจจะพัฒนาให้โปรแกรมสามารถคุยกับค่ายอื่น ๆ ได้มากน้อยเพียงใด

ตัวอย่างของการใช้งาน Interoperability

ขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น การผนึกกำลังระหว่างไมโครซอฟท์กับยาฮูในบริการแมสเซนเจอร์ ปัจจุบันผู้ใช้งานโปรแกรม MSN Messenger ของไมโครซอฟท์สามารถแอดผู้ใช้ที่อยู่ใน Yahoo Messenger เข้ามาคุยได้แล้ว ซึ่งผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องทราบเบื้องหลังการทำงานของทั้งสองระบบว่ามีการคุยกันอย่างไรบ้าง ไม่ต้องศึกษาโปรแกรม Yahoo Messenger ใหม่ แต่ก็สามารถคุยกับผู้ที่ใช้โปรแกรม Yahoo ได้เลย ถือว่าช่วยให้ผู้บริโภคใช้เทคโนโลยีอย่างสะดวกสบายมากขึ้น

เพราะเหตุใดไมโครซอฟท์จึงเลือกแนวทาง Interoperability

ในการแข่งขันปัจจุบัน ไมโครซอฟท์เลือกแนวทางที่จะอยู่ร่วมกับโอเพ่นซอร์ส (OpenSource) มากกว่า เพราะเราเชื่อว่า ในคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง สามารถมีทั้งไมโครซอฟท์ และโอเพ่นซอร์สอยู่รวมกันได้ ซึ่งก็เท่ากับ Win-Win ทั้งสองฝ่าย ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างว่าถ้ามีไมโครซอฟท์ก็ต้องไม่มีโอเพ่นซอร์ส อันนั้นจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

ทำไมต้องโฟกัสที่โอเพ่นซอร์ส

ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งก่อนว่า ธุรกิจของไมโครซอฟท์คือการจ้างนักพัฒนาเขียนซอฟต์แวร์แล้วขาย แต่บริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในวงการโอเพ่นซอร์สนั้นจะใช้วิธีรวบรวมโปรแกรมโอเพ่นซอร์สหลาย ๆ ตัวมาทดสอบ แล้วขายรวมกันเป็นแพ็กเกจ และคิดค่าบริการจากการใช้ซอฟต์แวร์เหล่านั้น ซึ่งโมเดลการทำธุรกิจแตกต่างกันนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ไมโครซอฟท์ต้องปรับแนวทางในการทำงานร่วมกับโอเพ่นซอร์สให้ชัดเจน

ประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับจาก Interoperability

ในแง่ของภาครัฐนั้น แนวความคิดของ Interoperability จะช่วยให้การกำหนดนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลมีทางเลือกมากขึ้น ไม่ยึดติดกับค่ายใดค่ายหนึ่ง และตัดปัญหาเรื่องการผูกขาดไปได้ ในแง่ของภาคธุรกิจนั้น Interoperability ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถแข่งขันได้มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาซอฟต์แวร์ลงได้อีกมาก สำหรับผู้บริโภคทั่วไป จะช่วยในด้านความยืดหยุ่นของการใช้งานระบบ ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันใหม่ ๆ มาใช้งาน

เชื่อว่าพอได้ทราบแนวความคิดของ Interoperability กันไปแล้ว หลายคนอาจมองว่ารูปแบบการแข่งขันของธุรกิจซอฟต์แวร์น่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปได้บ้าง เพราะพี่ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ออกนโยบายประนีประนอมต่อน้องเล็ก "โอเพ่นซอร์ส" เสียขนาดยอมอยู่ให้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันได้แล้วนี่นา

Company Related Links :
Microsoft
กำลังโหลดความคิดเห็น