วันนี้ใครที่คิดตั้งร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่แล้วให้คนต่อเน็ตเช็คอีเมล หรือเข้าเว็บไซต์หาข้อมูลข่าวสาร ดูเหมือนจะรอวันเจ๊ง ขาดทุนย่อยยับแน่นอน เป็นที่รู้กันว่าเดี๋ยวนี้คนที่เข้าไปใช้บริการร้านเน็ตส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น และกิจกรรมที่เข้าไปใช้มากที่สุดก็คือ เล่นเกมคอมพิวเตอร์
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสเดินทางไปตรวจเยี่ยมร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ โดยมีหัวหน้าทีมอย่าง ท่านสรอรรถ กลิ่นประทุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที โดยมีบรรดาข้าราชการระดับสูงอย่างท่านปลัดไกรสร พรสุธี หรือท่านผู้ตรวจ และอื่นๆ รวมทั้งนักข่าวกลุ่มเล็กๆ ที่ติดตามไปดูสถานการณ์ด้วย เป้าหมายของการตรวจร้านเน็ตวันนั้นอยู่ที่ หน้ามหาวิทยาลัยเกษตรฯ ซึ่งกล่าวขวัญกันว่าเป็นแหล่งใหญ่ และไฮเทคที่สุด
สำหรับคนที่ใช้บริการอยู่แล้ว บทความนี้ก็เหมือนเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน เพราะสิ่งที่บรรดาพวกผมเจอนั้นก็คือสิ่งที่คุ้นตา และหลายคนก็เข้าไปใช้บริการอยู่ ที่ผมเห็นนั้นทำให้ผมนึกถึงร้านตู้เกมสมัยเมื่อผมเป็นเด็ก แต่เกมที่เล่นทันสมัยและที่นั่งก็สะดวกสบาย เหมาะที่จะให้ลุยกันได้ตลอดคืน ผิดกับสมัยก่อนที่กฎหมายห้ามเกินสี่ทุ่มต้องปิดแล้ว
ช่วงดึกนี่ถือเป็นช่วงโปรโมชั่นจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นระบบเหมาจ่าย คือตั้งแต่สี่ทุ่มถึงหกโมงเช้า ราคาก็ตกประมาณ 60 บาท เฉลี่ยค่าเน็ตค่าเครื่องก็ตกชั่วโมงละ 6 บาท ที่ผมไปดูที่เครื่องของเจ้าของร้าน ก็เห็นความหลากหลายตั้งแต่เล่นกันประมาณ 1-2 ชั่วโมง บางคนล่อไป 7 ชั่วโมง และที่หน้าจอของคนเหล่านั้นหากไม่ใช่เล่นเกม WarCraft ซึ่งเป็น strategy ชื่อดัง ก็เป็นเกม Ragnarok ทุกเครื่อง ไอ้ประเภทเล่น chat หรือเอาไปทำอย่างอื่น แถวนี้ชิดซ้ายไปเลย ไม่มีให้เห็นหรอก พวกนี้เป็นคอเกมแบบเข้าไส้เลยทีเดียว
ตอนที่รัฐมนตรีสรอรรถเดินตรวจงาน ต้องยอมรับว่ามากันแบบไม่จัดฉากเลย ไอ้ประเภทเห็นเด็กเรียบร้อยเข้ามาใช้งานเหมือนกับที่เห็นใน TK Park นั้นไม่มีแน่นอน มีแต่เด็กที่พร้อมและเตรียมตัวมาลุยกันข้ามคืน โชคดีที่เห็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ไม่มากนัก และยังไม่ถึง 4 ทุ่ม ก็เลยเอาผิดกันไม่ได้ แต่ที่รู้ๆ ก็คือ ร้านเน็ตพวกนี้ยังทำเงินและเปิดกันเป็นสาขาแบบล่ำสันได้สบายๆ
เรื่องนี้มองได้สองมุม กับคำถามว่า ถ้าบ้านเรามีร้านเน็ตมากๆ จะดีไหม? และควรสนับสนุนให้อยู่ได้หรือเปล่า? เรื่องนี้ผมมองว่ามันจำเป็นอยู่ ที่ผ่านมาภาครัฐก็ไม่เคยสนับสนุนธุรกิจร้านเน็ตอย่างจริงจัง มีแต่ความพยายามจะเข้ามาคุมกำเนิด โดยเฉพาะพวกตำรวจที่เข้ามากวนอยู่บ่อย โดยมีบรรดาทนายลิขสิทธิ์ทั้งหลายเป็นคนชี้เป้า บางรายไม่ได้ทำผิดกฎหมายก็พยายามเข้ามาข่มขู่ตบทรัพย์ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ กลายเป็นแหล่งสร้างรายได้ใต้ดินไปอีกทาง
เรื่องที่สองเราสมควรสนับสนุนให้เด็กเล่นเกมหรือไม่? เรื่องนี้ถกกันให้ตายก็ไม่จบ ฝ่ายคัดค้านก็บอกว่ามันเป็นการมอมเมาแน่นอน ฝ่ายสนับสนุนนั้นบอกว่าเกมนี่แหละเป็นตัวเริ่มต้นของอัจฉริยะทางคอมพิวเตอร์ หรืออย่างน้อยก็ทำให้คนไม่กลัวเครื่อง แต่ทั้งสองข้างนั้นก็ไม่ปฏิเสธว่าเล่นได้แต่ไม่ควรจะนานไป อย่างเกมออนไลน์ที่จีน รัฐบาลเขาก็อยากให้เด็กได้ลองเล่น เพื่อที่จะเขียนเกมไปแข่งกับประเทศอื่นบ้าง แต่ถ้าเล่นมากไปก็มีมาตรการควบคุม เหมือนกับให้ ISP คุมเว็บโป๊นั่นแหละครับ โดยไอดีไหนเล่นเกินชั่วโมงที่กำหนด ก็ให้ริบไอเทมที่สะสมมา แค่นี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของคนเล่นเกมแล้วครับ เพราะที่อยากเล่นมากๆ ก็เพราะอยากจะได้เลเวลและไอเทมเพิ่มนั่นเอง เมื่อเล่นมากแต่ไอเทมลดเลเวลลดใครจะยอมเล่นครับ ท่านรัฐมนตรีสรอรรถ อยากแก้ไขปัญหานี้ไม่ต้องยุ่งยากแก้กฎหมายอะไรให้มากความ ท่านสั่งเป็นนโยบายไปกับ ISP และก็เจ้าของเกมออนไลน์ในเมืองไทยแค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ
เรื่องต่อไปที่ต้องเข้ามาจัดระเบียบให้ชัดเจนก็คือ เรื่องเรทเกม อันนี้อย่าโยนกันไปโยนกันมาเลยครับ ใครจะรับผิดชอบระหว่างกระทรวงไอซีทีหรือว่ากระทรวงวัฒนธรรม ก็จัดการเถอะครับ หรือว่าจะมีกรรมการเฉพาะเหมือนกรรมการเซ็นเซอร์ก็จัดกันขึ้นมาเถอะ ผมว่าเรื่องนี้ทางราชการน่าจะถนัดที่สุด
ต่อไปถ้าอยากจะให้เกิดการทำธุรกิจเกี่ยวกับเกมคอมพิวเตอร์ ก็ต้องตั้งสถาบันขึ้นมา อย่างตอนนี้ทางทีโอทีก็มีสถาบันนี้อยู่แล้ว เชิญนักเขียนเกมจากเกาหลีมาสอน แต่มีที่เดียวมันไม่พอหรอก ถ้าจะสนับสนุนก็ต้องมีหลายที่ และต้องมีการสนับสนุนอย่างจริงจัง งานอย่างนี้ซิป้ากับกระทรวงศึกษาต้องไปหาทางช่วยกันหน่อย
เสร็จแล้วก็ต้องให้ท่านรัฐมนตรีไปดูเรื่องเกตเวย์อินเทอร์เน็ต ว่าเมื่อไหร่จะปลดล็อกเสียที การผูกขาดอย่างนี้ตลอดไปไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติแน่นอน หาทางปลดมันออก โดยต้องศึกษาทางออกให้ดีเสียก่อน แค่นี้ราคาอินเทอร์เน็ตบ้านเราก็จะแข่งขันกันเองอย่างที่สุดได้ ต่อจากนั้นก็ต้องให้กทช.รีบปล่อยไลเซนส์ไวแมกซ์มา รับรองงานนี้ประชาชนได้มากกว่าเสียแน่นอน
ตอนจบของการเดิมสุ่มตรวจครั้งนั้นรัฐมนตรีสรอรรถแอบกระซิบหน่วยงานอย่างไซเบอร์อินสเป็กเตอร์บอกว่า ที่หลังไปหาที่ที่มันมีปัญหา อย่างแถวๆ ฝั่งธนบุรี หรือที่อื่นๆ จะดีกว่า ไปแบบจับกันให้เห็นๆ เลย ผมเองก็คิดในใจว่า ระหว่างการเสียเวลาไปเร่งจับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานแล้วให้ท่านรัฐมนตรีเร่งสั่งนโยบายข้างต้นออกมาใช้จะดีกว่า แต่โดยรวมแล้วผมก็ว่าการที่คนระดับรัฐมนตรีลงมาดูปัญหาและสภาพจริงๆ ก็เป็นการดี เวลาคุยกับข้าราชการของท่านจะได้เถียงกันถูก และกำหนดนโยบายไม่ผิดพลาด
แม้จะไม่เห็นด้วยสักเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่โอเค และหวังว่าคุณสรอรรถจะดูแลเอาใจใส่เรื่องนี้อย่างจริงจัง มากกว่านั่งฟังรายงานเฉยๆ


