เที่ยวอย่างนี้สิ คุ้มค่า!
อากาศร้อนๆๆๆๆๆ น้ำก็ต้องใช้อย่างประหยัด จะอาบน้ำวันละหลายสิบรอบก็คงจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ เพราะข่าวก็นำเสนออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าหลายที่หลายจังหวัดในประเทศไทยของเรายังประสบภาวะน้ำขาดแคลน (น้ำมันก็ยังแพงอีกต่างหาก)
ต้องขออภัยด้วยนะขอรับ ถ้าการบ่นของตัวกระผมจะทำให้คนบางคนรู้สึกร้อนยิ่งขึ้น แต่ผมว่าอากาศร้อนๆ แบบนี้เรามาหาที่เที่ยวกันดีมั้ยครับ โดยผมจะนำเสนอบทความเกี่ยวกับการวางแผนการท่องเที่ยวต่างประเทศด้วยตนเอง โดยอาศัยข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตล้วนๆ ประมาณว่านั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพียง 1-2 ชั่วโมงก็สามารถวางแผนการท่องเที่ยวต่างประเทศได้แบบครบวงจรตั้งแต่หาข้อมูลการท่องเที่ยว แผนที่ การจองตั๋วเครื่องบินไปจนถึงการจองโรงแรมที่พัก หรือรถเช่า
ปัจจุบันนี้มีเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลการท่องเที่ยวมากมายหลายแห่ง สำหรับการท่องเที่ยวแบบโกอินเตอร์ อย่างเช่น Yahoo Travel หรือเว็บไซต์การท่องเที่ยวของประเทศนั้นๆ ส่วนมากจะเป็นเว็บเซอร์วิสที่ให้บริการที่ค่อนข้างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบราคาตั๋วเครื่องบิน ที่พัก หรือข้อมูลการท่องเที่ยวอื่นๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นที่รู้จักทั่วไป จะมีข้อมูลค่อนข้างละเอียด
วางแผนสักนิด ก่อนคิดไปเที่ยว
ก่อนที่เราจะออกเดินทางไปเที่ยว เราควรวางแผนการกันสักนิด โดยขั้นแรกเราต้องกำหนด Policy หรือ Concept ในการท่องเที่ยวของเราก่อน ว่ามีวัตถุประสงค์ในการท่องเที่ยวอย่างไร ต้องการไปประเทศไหน ต้องการไปเที่ยวแบบหรูหราไฮโซคุณหนู หรือ แบบเซอร์ๆ ถูกๆ มีสถานที่ไหนต้องการไปเยี่ยมชมเป็นพิเศษหรือเปล่า ? ยึดอะไรเป็นหลัก ไปกี่วัน และกี่คน
สำหรับผม ซึ่งทำงานแบบมนุษย์เงินเดือน มีวันหยุดและงบค่อนข้างน้อย เมื่อมีพักร้อนทั้งทีก็ต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด โดยสัญญากับตัวเองว่าจะออกหาประสบการณ์ต่างแดนอย่างน้อยปีละครั้ง สำหรับปีนี้ผมตั้งใจจะไปชมดอกซากุระที่กำลังบานสะพรั่งในญี่ปุ่น ประกอบกับความใฝ่ฝันในวัยเยาว์ (ของคนที่ไปด้วย) ที่ต้องการเที่ยวดิสนีย์แลนด์ ดังนั้น ผมจึงกำหนดเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้เป็นเมืองโตเกียวประเทศญี่ปุ่นครับ และกำหนด Policy ในการจัดทริปดังนี้
- ต้องประหยัด (สำคัญมากสำหรับมนุษย์เงินเดือนเช่นผม)
- ไม่ต้องย้ายที่พักบ่อยๆ โดยไม่จำเป็น เนื่องจากขี้เกียจหอบข้าวของเปลี่ยนโรงแรมบ่อยๆ ทำให้เสียเวลาและกำลังงานโดยไม่จำเป็น เก็บไว้เที่ยวหรือทำอย่างอื่นดีกว่า
- ระยะเวลาตลอดทั้งทริปไม่เกิน 7 วัน ไม่งั้นกลับมาแล้วจะไม่มีงานทำ
- ต้องการดื่มด่ำในการชมซากุระหรือที่เรียกว่า "CHERRY BLOSSOM" และได้เที่ยว Tokyo Disneyland
- ไปกันแค่สองคนกับหวานใจ โดยไม่มีก้างขวางคอให้กวนใจ
เมื่อชัดเจนในเรื่องนโยบายแล้ว ทีนี้ผมก็เริ่มหาข้อมูลการท่องเที่ยวก่อน โดยเว็บไซต์ที่แนะนำ ก็คือ http://gojapan.about.com และ http://travel.yahoo.com
การทำการบ้านด้วยการหาข้อมูลสถานที่ที่เราจะไป เพื่อให้การเยี่ยมชมสถานที่เหล่านั้นมีอรรถรสและสนุกมากขึ้น เพราะถ้าเรารู้ความหมาย ประวัติและที่มาของสถานที่ที่เราจะไป รวมถึงสิ่งที่เราต้องเข้าไปชม เช่น เมื่อปลายปีที่แล้วผมไปเที่ยวนครวัดที่กัมพูชา ได้อ่านข้อมูลประวัติเกี่ยวกับปราสาทต่างๆ ก็ทำให้การท่องเที่ยวทริปนั้นประทับใจผมอย่างมาก เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมทริปของผมที่ไปด้วย เพราะเขากลับบ่นว่าไม่ค่อยสนุก เพราะเหมือนไปแล้วไม่ถึงที่ และบอกว่าคราวหน้าถ้าได้ไปเขาจะเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้
กลับมาที่ทริปของเราที่จะไปชมดอกซากุระ ซึ่งก่อนอื่นเราต้องเข้าใจธรรมชาติของดอกซากุระเสียก่อน เนื่องจากธรรมชาติของดอกซากุระจะบานและร่วงเร็วมาก ดังนั้น ช่วงที่ดีที่สุดสำหรับการชมซากุระในพื้นที่หนึ่งๆ จะไม่เกินสองสัปดาห์เป็นอย่างมาก (ส่วนใหญ่จะเพียงสัปดาห์เดียว) และการบานของดอกซากุระที่ญี่ปุ่นจะไม่บานพร้อมกันทั้งประเทศ โดยเริ่มจากภาคใต้ของญี่ปุ่นไล่ไปทางทางภาคเหนือ ดังนั้น หากคิดเล่นๆ เราก็สามารถชมดอกซากุระที่ญี่ปุ่นได้เป็นเดือนๆโดยการย้ายสถานที่ชมไปเรื่อยจากภาคใต้สู่ภาคเหนือ จึงจำเป็นต้องตรวจสอบการพยากรณ์การบานของดอกซากุระในแต่ละพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่นให้ดีนะครับ
จากประสบการณ์ที่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อน ผมพบว่าการพยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นมีความแม่นยำและละเอียดมาก มีข้อมูลการพยากรณ์อากาศที่เจาะพื้นที่เป็นตำบลเลย เช่น เขาจะบอกว่าพื้นที่นี้มีโอกาสฝนตกกี่เปอร์เซ็นต์ในตอนเช้า และกี่เปอร์เซ็นต์ในตอนบ่าย ไม่เหมือนเมืองไทยที่ได้แต่บอกซ้ำๆ กันอยู่ทุกวัน เช่น บอกว่า "ภาคใต้มีฝนตกเป็นแห่งๆ ทะเลมีคลื่นเล็กน้อยถึงปานกลาง" อะไรทำนองนี้ (ก็แหงอยู่แล้วว่าต้องมีฝนในบางพื้นที่และทะเลมันก็ต้องมีคลื่นอยู่แล้ว)
ข้อมูลเกี่ยวกับการพยากรณ์การบานของดอกซากุระสามารถดูได้จาก http://gojapan.about.com/cs/cherryblossoms/l/blsakurazensen.htm
โดยปกติแล้วเมื่อผมไปเที่ยวที่เมืองไหน ผมจะลองตรวจสอบก่อนว่าในระหว่างนั้น มีเทศกาลหรือ Event อะไรสำคัญๆ ที่ไหนบ้าง เพื่อให้ไม่ไปเสียเที่ยว โดยสามารถตรวจสอบ Festival และ Event ในโตเกียวได้ที่ http://gojapan.about.com/od/attractionintokyo/a/tokyocalendar.htm ซึ่งก็เป็นไปตามคาดว่าจะต้องมี Cherry Blossom Festival ในช่วงที่เราไป นอกจากนั้นใน Web site นี้ยังแนะนำสถานที่ที่นิยมไปชมซากุระในโตเกียว เช่น Uneo park, Yoyoki park ซึ่งเป็นสถานที่นิยมจัด Parties แบบ "Hanami"
"Hanami" หมายถึงการจัดงานเลี้ยงหรือ Parties กับเพื่อนฝูงหรือครอบครัว ภายในสวนซากุระ เพื่อชื่นชมความงามของดอกซากุระ โดยการนั่ง ดื่ม กิน ตลอดทั้งวันถึงกลางคืน และเตรียมอาหารแบบ picnic ประเภทปิ้งย่างหรือ BBQ ดังนั้น สถานที่จัดงานเลี้ยงแบบ hanami ก็จะวุ่นวายนิดหน่อย ถ้าไม่ชอบบรรยากาศที่วุ่นวาย ต้องการชมซากุระอย่างสงบก็ตามชมตามวัดญี่ปุ่น ปราสาทโบราณ หรือตามภูเขา
นอกจากสถานที่ในการชมดอกซากุระ ในเว็บไซต์นี้ยังมีข้อมูลสถานที่ที่น่าท่องเทียวในโตเกียวจาก http://gojapan.about.com/od/attractionintokyo/ ซึ่งใน Page นี้มี บทความที่แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในโตเกียวมากกว่า 70 บทความครับ
ในเพจนี้มี Information ที่เกี่ยวข้องกับ Tokyo มากมาย เช่น แผนที่ใน Tokyo สภาพอากาศ เพื่อที่จะได้เตรียมเครื่องนุ่งห่มให้เหมาะสม ผมลองเข้าไปดูที่ "Seasonal Forecast" เพื่อตรวจสอบสภาพอากาศ พบว่าในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเมษายนที่โตเกียวอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 4~13c จะเห็นว่าอากาศค่อนข้างหนาวทีเดียว ดังนั้น หากไม่ชอบความหนาวเย็นก็ต้องเตรียมเครื่องนุ่งห่มให้พร้อมนะครับ
นอกจากเว็บไซต์นี้แล้ว ผมได้ลองดูที่ Yahoo Travel โดยเข้าไปที่ http://travel.yahoo.com/ เลือก Travel > Guides > Asia > Japan > Toky แล้วกดคลิ้กเข้าไปดูที่ "Top 10 Things to do" เพื่อดูว่าส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวเข้าไปทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง ในแต่ละสถานที่จะมีการให้ Rating และ comment หรือข้อคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหรือนักท่องเที่ยวที่เคยไปมาแล้วระบุไว้ด้วย
หาที่พักอย่างเหมาะสม พร้อมกำหนดแผนการเดินทาง
ในการเที่ยวแต่ละครั้งนั้น ผมว่าเราควรหาแผนที่มาดูก่อนนะครับว่า เราต้องไปที่ไหนบ้าง เพื่อจะได้หาที่พักอย่างสอดคล้องเหมาะสมกับแผนการท่องเที่ยวของเรา ซึ่งแผนที่โตเกียวนี้เราสามารถหาได้จาก http://www.asiarooms.com/japan/tokyo.html
หลังจากกำหนดสถานที่หลักๆ ที่เราต้องการไปเยี่ยมชมได้แล้ว เราควรกำหนดแผนการท่องเที่ยวแบบละเอียดเป็นรายวันเป็นขั้นตอนต่อไป ความจริงจะว่าไปแล้วก็เป็นการยากเหมือนกันในการที่จะกะว่าต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหนในแต่ละสถานที่ แต่ไม่ต้องห่วงครับ ข้อมูลเหล่านี้มีในเว็บไซต์ เช่นที่ http://www.tourism.metro.tokyo.jp/english/route/list.html จะมีลิสต์ของข้อมูลเป็น walking trip ของแต่ละพื้นที่ให้เราเลือก และมีข้อมูลค่อนข้างละเอียดมาก รวมถึงบอกเวลาที่ต้องใช้เดินทางในแต่ละทริปด้วย เช่น แผนการเดินทางท่องเที่ยวบริเวณ Ueno Park จะมีข้อมูลว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบไหน เหมาะกับการเดินทางกับใคร (ครอบครัว/เด็ก/กิ๊ก?) ต้องขึ้นลงรถไฟฟ้าที่สถานีไหนบ้าง มีReview จากนักท่องเที่ยวที่เคยไปเยี่ยมชมการแล้วให้อ่านด้วย
จากข้อมูลตรงนี้ ทำให้เราสามารถวางแผนการท่องเที่ยวเป็นรายวันได้ว่า แต่ละวันจะไปที่ไหนบ้างต้องให้เวลาหรือใช้เงินเท่าไหร่(บางแห่งมีค่าธรรมเนียมในการเยี่ยมชมด้วยครับ)
การจองที่พัก
มีเว็บไซต์หลายแห่งที่ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับที่พักครับ (เท่าที่ลองเสิร์ชดู ก็พบว่าเยอะมากๆ เลย) แต่ละเว็บไซต์ก็อ้างของตัวเองสามารถหาโรงแรมได้ถูกที่สุด ดีที่สุดครับ
ผมเสนอให้ลองหาข้อมูลดูสัก 2-3 เว็บไซต์ครับ แล้วค่อยตัดสินใจเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลของโรงแรมมากหน่อยจะได้เปรียบ เช่น มีแผนที่หรือรูปถ่ายให้ด้วย โดยปกติการจองโรงแรมต้องใช้หมายเลขบัตรเครดิตในการจองโรงแรม ส่วนใหญ่จะไม่ได้หักเงินค่าจองทันที เพียงแค่เก็บไว้อ้างอิงว่าคุณเป็นจองโรงแรมนั้นๆ จริง (ไม่ใช่เด็กวานซืนที่ไหนนึกสนุกเข้าเว็บไซต์มาจอง) การจ่ายเงินจริงจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเข้าไปใช้บริการในที่พักแล้วจึงจ่ายเงิน ซึ่งผมก็ว่าแฟร์ดี และรู้สึกปลอดภัยด้วยครับ
อันหนึ่งที่อยากพูดถึงคือระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากเราให้ให้หมายเลขบัตรเครดิตไป แม้ว่าจะให้แค่หมายเลขหน้าบัตร (ปกติหากจะจ่ายเงินทางอินเทอร์เน็ตต้องระบุตัวตนของผู้ใช้มากนี้ จึงจะสามารถเรียกเก็บเงินจากธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตได้) แต่เราควรสังเกตว่าเว็บไซต์นี้ได้มี CA เป็นผู้รับรองว่า เว็บไซต์ที่เรากำลังติดต่ออยู่มีตัวตนจริง โดยเพจที่เราลงหมายเลขบัตรเครดิต หรือมีการกรอกข้อมูลส่วนตัว ต้องมี CA การันตี สามารถตรวจสอบ CA ได้จากที่ File -> Properties ในแท็บ General จะมีปุ่ม Certificates อยู่ ให้ลองคลิ้ก จะปรากฏ Certificates ให้ดู ให้สังเกตวัตถุประสงค์ของเพจนี้เป็นอย่างไร สอดคล้องกับธุรกรรมที่เรากำลังดำเนินอยู่หรือไม่ ? ได้รับการยอมรับจากไออีหรือไม่ ? เรื่องความปลอดภัยบนระบบ E-Commerce นี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เอาไว้ถ้ามีโอกาสผมจะลองเขียนบทความเกี่ยวเรื่องนี้โดยเฉพาะนะครับ
สำหรับการจองที่พักในโตเกียวนั้น ผมเลือกบริเวณ Shiba เนื่องจากเป็นแหล่งธุรกิจการค้า ใกล้ๆ กับหอคอยโตเกียว เผื่อไว้ชอปปิงตอนเย็นๆ และหาของกินง่าย โดยจองพักที่เดียวรวด 6 คืน เนื่องจากขี้เกียจต้องหอบหิ้วกระเป๋าย้ายสถานที่บ่อยๆ เว็บไซต์ที่ผมเลือกสำหรับการจองโรงแรมในครั้งนี้ ผมเลือกที่ http://www.hotelsjapan.com เนื่องจากลองดูๆแล้ว โรงแรมที่ offer มาราคาไม่แพงมากจนเกินไป และมีข้อมูลที่ละเอียดพอใช้ได้ครับ พอดีว่าช่วงที่ไปเป็นช่วง high season ของที่นั่นพอดี เรื่องที่พักเลยไม่ค่อยมีส่วนลดหรือ Special offer สักเท่าไหร่
ที่พักในความเห็นของผมแล้วผมว่าควรใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า เนื่องจากจะทำให้สะดวกในการเดินทางมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ดังนั้น จะเป็นการดีมาก ถ้าโรงแรมที่พักอยู่ภายในรัศมีที่สามารถเดินได้จากสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งในที่นี้ผมจองเป็นจำนวนทั้งหมด 6 คืน ห้องเตียงคู่ Non-Smoking (สำคัญมาก สำหรับคนที่ไม่สูบบุหรี่ ไม่อย่างนั้นหากได้ห้องที่เป็น Smoking ห้องจะเหม็นมากครับ เพราะญี่ปุ่นเป็นชาติที่สูบบุหรี่จัดมากๆ แม้ตัวไม่อยู่แต่กลิ่นยังอยู่ครับ)
เมื่อเราทำการจองห้องพักแล้ว ทางโรงแรมจะคอนเฟิร์มการจองมายังผู้จองอีกครั้งหนึ่ง โดยอาจผ่านทางโทรศัพท์ หรือทาง เมล์ อันนี้ขึ้นอยู่กับโรงแรมครับ
โรงแรมที่ผมเลือกไม่ได้เป็นโรงแรมที่ถูกที่สุดนะครับ แต่เป็นโรงแรมที่ผมคิดว่าการเดินทางค่อนข้างสะดวก ปลอดภัยและสบายพอสมควร เนื่องจากเพื่อนร่วมทริปเป็นคุณหนูนิดหนึ่ง หากใครต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายตรงนี้ ก็สามารถทำให้โดยเลือกห้องพักที่ถูกกว่านี้ หรือเลือกที่พักลักษณะ Ryokan หรือหอพักก็ได้ครับ จะถูกกว่านี้พอสมควร ก่อนหน้านี้ผมเคยมาเที่ยวโดยพักที่หอพักราคาต่อคืนประมาณแค่ 550 บาท แต่ไม่มีทีวี ตู้เย็น และห้องน้ำรวม โดยเฉพาะต้องอาบน้ำรวมแบบญี่ปุ่น(แยกหญิง-ชาย) ซึ่งก็ตื่นเต้นดีครับที่ต้องอาบน้ำพร้อมกับชายแปลกหน้า เพราะบ้านเราไม่มี แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยหรือความสะอาด แม้จะไม่เทียบเท่าโรงแรม แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ของประเทศที่พัฒนาแล้ว สำหรับผมแล้วผมโอเคครับ
การจองตั๋วเครื่องบิน
อย่างแรกเราต้องทราบก่อนว่าเราจะบินลงที่ไหนที่เหมาะสมที่สุด บางเมืองอย่างเช่น โตเกียว มีสนามบินนานาชาติมากกว่าหนึ่งแห่ง กรณีนี้ผมเลือกลงที่สนามบินนาริตะ มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการเลือกสนามบินคือต้องเลือกให้สะดวกต่อการเดินทางของเรา มีรถไฟฟ้าจากสนามบินโดยตรง(ซึ่งที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสำหรับสนามบินใหญ่ๆ) เพราะเราต้องหอบข้าวของเดินทางจากสนามบินด้วยตนเอง การที่ต้องเปลี่ยนรถเปลี่ยนรถไฟบ่อยๆ คงไม่สนุกแน่ พลอยจะเหนื่อยและหลงทางเปล่าๆ
การเลือกไฟลต์ (flight) ก็ต้องให้สอดคล้องกับโรงแรมด้วย ปกติผมจะเลือกไฟลต์ที่ไปถึงในช่วงเช้าสายๆ เพราะจะได้เช็กอินเข้าโรงแรมตอนเที่ยงพอดี จะได้มีที่วางกระเป๋าอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว และขากลับผมจะเลือกออกตอนเย็นหรือตอนกลางคืนเพื่อที่จะได้เที่ยวได้ต่ออีกหนึ่งวันเต็มๆและไม่ต้องรีบร้อนในการกลับ
เช่นเดียวกับการจองโรงแรมครับว่ามีเว็บไซต์ที่ให้บริการทางด้านการจองตั๋วเครื่องบินมากมาย แต่ละเว็บก็เช่นกันที่บอกว่าของตนเองดีที่สุด ถูกที่สุด
สำหรับการจองตั๋วเครื่องบินผมแนะนำให้ใช้เว็บไซต์ของ Agency ที่อยู่ในประเทศ เนื่องจากแน่นอนกว่า สามารถโทรติดต่อถามข้อมูลเพิ่มเติมได้โดยตรง และสามารถขอตั๋วมาไว้ก่อนเพื่ออุ่นใจ แม้ว่าในปัจจุบันจะมี e-ticket ที่สามารถพรินต์ตั๋วจากเครื่องพรินเตอร์ของเราแล้วนำไปยื่นที่เคาน์เตอร์ของสายการบินได้เลยก็ตาม
สำหรับการจองโดยใช้เว็บไซต์ของสายการบินโดยตรงก็สามารถทำได้ แต่จะราคาแพงกว่าซื้อจาก Agency นิดหนึ่ง
หลังจากลองเสิร์ชดูจากหลายๆ เว็บแล้ว ผมก็เลือกจองที่ www.12flight.com/country/japan.html ครับ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเว็บที่ถูกที่สุด แต่ก็พอยอมรับได้ครับ เป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุง-นาริตะ ที่ราคา 15,900 บาท ไม่รวมค่าประกันภัยประมาณ 5 USD จากนั้นก็คล้ายกับการจองโรงแรมครับ ต้องมีการลงทะเบียนและบัตรเครดิตเพื่อระบุตัวตนของผู้จอง จากนั้นจะมีการคอนเฟิร์มทางอีเมล์ และ/หรือ โทรศัพท์อีกครั้งหนึ่ง สามารถจ่ายเงินตอนรับตั๋วได้ รวมถึงมีบริการส่งตั๋วให้ถึงบ้าน (ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล)
สรุปค่าใช้จ่าย
ตกลงค่าใช้จ่ายหลักของการเดินทางทริปนี้ไปหนักที่ค่าที่พัก (966USD ต่อสองคน) และค่าตั๋วเครื่องบิน(16,000THB ต่อคน) รวมเป็นเงินประมาณ 70,000 บาทต่อสองคนหรือ คนละ 35,000 บาท รวมค่าอาหารและค่าเดินทางท่องเที่ยวคิดว่าไม่น่าเกิน 45,000 บาท กับการท่องเที่ยว 7 วัน 6 คืน เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยของบริษัททัวร์ต่างๆ ที่ราคาเท่านี้จะอยู่ได้ประมาณ 5 วัน 4 คืน ซึ่งก็แล้วแต่ครับว่าชอบการที่ยวแบบไหน การไปกับทัวร์บางคนก็บอกว่าสบายดีไม่ต้องคิดอะไร เขาก็พาไปเรื่อยๆ แต่หากต้องการไปเที่ยวแบบสัมผัสจริงๆ เช่นผม จะนิยมไปเที่ยวโดยตัวเองดีกว่า เนื่องจากสามารถจัดแผนการท่องเที่ยวได้ดังที่ใจชอบและได้สัมผัสกับคนท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ใกล้ชิดกว่า
มีคำแนะนำอีกนิดหนึ่ง การท่องเที่ยวด้วยตนเองในต่างประเทศต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยในประเทศนั้นๆ ด้วยนะครับ คงไม่มีใครเดินทางไปอิรักด้วยตนเองเป็นแน่แท้ หรือบางประเทศการไปด้วยตนเองมีความยุ่งยากหรือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าไปกับทัวร์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่การระบบขนส่งมวลชนหรือการคมนาคมไม่ดี การเดินทางบางครั้งต้องอาศัยการเหมารถเพียงอย่างเดียว การไปเที่ยวด้วยตนเองมักไปกันน้อยคน ทำให้มีค่าใช้จ่ายต่อหัวมากกว่ามากับกรุ๊ปทัวร์
เอาเป็นว่า หากมีเวลาก็อยากให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทั้งหลายลองไปหาประสบการณ์ด้วยการเที่ยวต่างแดนดูนะครับ เพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็จะได้เห็นว่าบ้านเมืองเขาเป็นอย่างไร ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวนะครับ
************
ขอขอบคุณบทความดี ๆ จากนิตยสารคอมพิวเตอร์ทูเดย์ ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถติดตามอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก นิตยสาร Computer.Today ฉบับปักษ์แรกเดือนเมษายน 2548 นี้ค่ะ โดยบทความ Cover Story ของเล่มนี้คือเรื่องของ Mini-DV ค่ะ
Company Related Links :
Computer Today