หลักนิติธรรม (Rule of Law) ไม่ได้เป็นเพียงกลไกทางกฎหมาย แต่เป็น "โครงสร้างพื้นฐาน" ที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศ และรับรองสิทธิพื้นฐานของประชาชน ที่สำคัญคือหลักนิติธรรมยังเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมาก ที่กลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) จะใช้เป็นฐานในการพิจารณารับสมาชิกใหม่ และประเทศไทยคือ 1 ใน 8 ประเทศที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
หลักนิติธรรมภายใต้กรอบการทำงานของ OECD นั้นมีความครอบคลุมในมิติสำคัญตั้งแต่การป้องกันและปราบปรามการทุจริต การเสริมสร้างรัฐบาลโปร่งใส ระบบตรวจสอบถ่วงดุลและธรรมาภิบาลภาครัฐ การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเอื้อต่อการลงทุนและลดต้นทุนธุรกิจ รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและประชาชนเข้าถึงได้
ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับปัจจัยต่าง ๆ ที่ใช้ในการสำรวจดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมหรือ Rule of Law Index ที่ The World Justice Project องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับสากล ได้ทำการวัดและจัดลำดับหลักนิติธรรมทั่วโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551
หลักนิติธรรมต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก: ข้อมูลที่ท้าทายอนาคตไทย
จากผลการสำรวจดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) โดย The World Justice Project (WJP) ในปี 2568 (2025) ประเทศไทยได้คะแนน 0.50 คะแนน จากคะแนนเต็ม 1 คะแนน อยู่อันดับที่ 77 จาก 143 ประเทศทั่วโลกที่เข้าร่วมการสำรวจ ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีค่าคะแนนหลักนิติธรรมอยู่ในกลุ่มคงที่เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2567 แต่หากเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของทั้ง 143 ประเทศจะพบว่า ประเทศไทยยังมีคะแนนหลักนิติธรรมต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ซึ่งมีค่าอยู่ที่ 0.55 คะแนน
คำถามคือ หากไทยต้องการเข้าเป็นสมาชิก OECD จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะที่มีประสิทธิภาพเพื่อยกระดับหลักนิติธรรมนั้น โดยเฉพาะการใช้ “ข้อมูลเชิงประจักษ์” ที่สะท้อนความเป็นจริงอย่างรอบด้าน โดยนำค่าคะแนนนี้มาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เพื่อแสวงหาโอกาสและแนวทางในการพัฒนาหลักนิติธรรมในด้านต่าง ๆ อย่างเร่งด่วน
วิเคราะห์เชิงลึก: เปิดตัวรายงานชี้ “จุดแข็ง-จุดอ่อน” หลักนิติธรรมในประเทศไทย
ในงาน Thailand’s Rule of Law Landscape: Transforming Insights into Impact เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ที่อาคารสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ทาง TIJ ได้ร่วมกับ WJP เปิดตัวรายงาน “สถานการณ์หลักนิติธรรมในประเทศไทย” (The Rule of Law in Thailand: Key Findings from the General Population Poll 2025) รายงานเชิงลึก หรือ Country Report ของประเทศไทย
ดร.ศรีรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก World Justice Project กล่าวว่า รายงานคะแนนดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมโลกเป็นงานวิจัยที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของโลก โดยทำการวิจัยใน 143 ประเทศ เป็นผลคะแนนที่ได้มาจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ (Qualified Respondents’ Questionnaires - QRQs) มากกว่า 4 พันคน และผลการสำรวจความคิดเห็นและประสบการณ์ของประชาชนทั่วไป (General Population Poll: GPP) ที่มีผู้ร่วมทำแบบสำรวจมากกว่า 2.15 แสนครัวเรือน โดยทำการสำรวจใน 8 ปัจจัยหลัก 1. การจำกัดอำนาจรัฐ 2. การปราศจากคอร์รัปชัน 3. การมีระบบรัฐบาลเปิด 4. สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน 5. ระเบียบและความมั่นคง 6. การบังคับใช้กฎหมาย 7. กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง 8. กระบวนการยุติธรรมทางอาญา และแบ่งออกเป็น 44 ปัจจัยย่อย
ข้อค้นพบสำคัญจากคะแนนหลักนิติธรรมไทย (Rule of Law Index)
คะแนนหลักนิติธรรมไทย “คงที่” อยู่ในระดับกลาง แต่ยังต่ำกว่าเฉลี่ยโลก
ผลสำรวจดัชนีหลักนิติธรรม (WJP Rule of Law Index) ประจำปี 2568 ระบุว่า คะแนนรวม 0.50 คะแนนของประเทศไทยถือว่าเป็นระดับกลาง ๆ และคะแนนยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 0.55 คะแนน ส่วนสถานการณ์ในระดับภูมิภาคอาเซียน ไทยรั้งอยู่ในอันดับที่ 4 โดยยังคงตามหลังประเทศในอาเซียนอย่างสิงคโปร์ (อันดับ 16) มาเลเซีย (อันดับ 56) และอินโดนีเซีย (อันดับ 69) แม้จะมีคะแนนที่ดีกว่าเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา นอกจากนี้ คะแนนของไทยยังคงมีช่องว่างห่างจากค่าเฉลี่ยภูมิภาคเอเชียตะวันออก แปซิฟิก และเอเชียใต้ (0.59) โดยอยู่ในอันดับที่ 12 จาก 21 ประเทศ
โดยสรุปแล้ว จาก 44 ปัจจัยย่อย ประเทศไทยทำคะแนนได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยกลางของโลกและภูมิภาคเอเชียตะวันออก แปซิฟิก และเอเชียใต้ 6 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ฝ่ายตุลาการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้อย่างมีประสิทธิผล เจ้าหน้าที่รัฐในฝ่ายตุลาการไม่ใช้ตำแหน่งราชการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การประกันเสรีภาพในความเชื่อและศาสนา การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งในราคาที่สามารถจ่ายได้ กระบวนการยุติธรรมทางแพ่งที่ปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชัน และกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งที่ปลอดจากอิทธิพลที่ไม่เหมาะสมของรัฐบาล
ส่วนปัจจัยย่อยที่มีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกและค่าเฉลี่ยกลางของภูมิภาคฯ มีมากถึง 32 ปัจจัย โดยมี 12 ปัจจัยที่มีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกและภูมิภาคมากกว่า 10% ได้แก่
• องค์กรอิสระตรวจสอบและควบคุมการใช้อำนาจของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิผล (-15%)
• การเปลี่ยนผ่านอำนาจเป็นไปตามกฎหมาย (-18%)
• เจ้าหน้าที่รัฐในองค์กรตำรวจและทหารไม่ใช้ตำแหน่งราชการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว (-13%)
• เจ้าหน้าที่รัฐในฝ่ายนิติบัญญัติไม่ใช้ตำแหน่งราชการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว (-10%)
• การประกันสิทธิในชีวิตและความมั่นคงปลอดภัยของบุคคล (-16%)
• การใช้กฎหมายและการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายปราศจากอิทธิพลอันมิชอบ (-11%)
• กระบวนการของฝ่ายบริหารยึดหลักเคารพสิทธิของประชาชนโดยการใช้อำนาจต้องมีกฎหมายรองรับและปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด (-16%)
• รัฐบาลไม่ดำเนินการเวนคืนโดยปราศจากกระบวนการอันชอบด้วยกฎหมายและการจ่ายค่าทดแทนที่เพียงพอ (-10%)
• การบังคับคดีในกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งมีประสิทธิผล (-16%)
• กลไกการระงับข้อพิพาททางเลือกที่เข้าถึงได้ มีประสิทธิผล และเป็นกลาง (-16%)
• ระบบราชทัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพในการปรับพฤตินิสัย (-14%) กระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลาง (-15%)
ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก World Justice Project กล่าวด้วยว่า ตัวเลขงานวิจัยนั้นเป็นข้อมูลที่ช่วยให้สามารถรปรับปรุงสถานการณ์หลักนิติธรรมของประเทศไทย และมีข้อสังเกตว่าที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ดีที่ภาคเอกชนและประชาสังคมในประเทศเห็นความสำคัญและมีส่วนร่วมในการออกแบบหลักนิติธรรม แต่ภาครัฐยังคงต้องเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนหลักนิติธรรม
“ภาครัฐต้องเป็น main driver ของหลักนิติธรรม ต้องสร้างพันธมิตรและความเป็นเจ้าของให้มากขึ้น การเปิดเผยข้อมูลทั้ง 44 ด้านของดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม เมื่อทราบแล้วต้องมีการนำไปปฏิบัติจริง โดยลำดับความสำคัญ สิ่งที่ดีอยู่แล้วสามารถให้ดำเนินต่อไปได้ บางอย่างเป็นเรื่องที่สามารถทำสำเร็จได้เร็ว และบางอย่างก็ต้องผ่าตัดรื้อระบบ
“สำหรับประเทศไทยมีเรื่องที่จะต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ การคอร์รัปชัน และการขาดความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน ซึ่งสิ่งที่จะช่วยได้คือการนำมาตรฐานหรือเครื่องมือสากลมาใช้ในบริบทของไทยเพื่อสร้างมาตรฐานและเปรียบวัดกับมาตรฐานเหล่านั้นว่าจะปรับปรุงอย่างไร”
เจาะลึกรายงานหลักนิติธรรมในประเทศไทย: "ความมั่นคง" แข็งแกร่ง สวนทาง "ความโปร่งใส"
จากรายงานสถานการณ์หลักนิติธรรมในประเทศไทย ซึ่งเป็นรายงานฉบับพิเศษที่มุ่งนำเสนอผลการประเมินหลักนิติธรรมในประเทศไทย 2 ส่วนหลัก คือ 1. คะแนนภาพรวมของประเทศไทยใน WJP Rule of Law Index 2025 และ 2. ผลการสำรวจความคิดเห็นและประสบการณ์ของประชาชนทั่วไป (General Population Poll: GPP) ซึ่งเป็นตัวแทนของครัวเรือน 1,100 แห่งทั่วประเทศ ที่ได้ทำการสำรวจแบบตัวต่อตัวระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2568 โดยเป็นการอัพเดทข้อมูลจากการสำรวจล่าสุดใน พ.ศ. 2561
เมื่อเจาะลึก 8 ปัจจัยหลักของดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม พบว่า ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัดในด้านความสงบเรียบร้อยและความมั่นคง (Order and Security) โดยทำคะแนนได้สูงถึง 0.75 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการควบคุมอาชญากรรมและความขัดแย้งภายในประเทศ นอกจากนี้ ด้านการจำกัดอำนาจรัฐบาล (Constraints on Government Powers) ก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเล็กน้อย (0.47) แสดงให้เห็นถึงการตรวจสอบถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนจุดอ่อนสำคัญของไทยคือ การปลอดจากคอร์รัปชัน (Absence of Corruption) โดยคะแนนอยู่ที่ 0.45 ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการติดสินบนและความไม่โปร่งใสในภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการปลอดจากการทุจริต (-0.01) ซึ่งปัจจัยด้านการทุจริตในฝ่ายนิติบัญญัติมีคะแนนลดลง
ในขณะที่ด้านการบังคับใช้กฎหมาย (Regulatory Enforcement) ยังคงมีคะแนนต่ำและเท่ากับปี 2567 อยู่ที่ 0.40 บ่งบอกถึงการขาดประสิทธิภาพและความไม่แน่นอนในการบังคับใช้กฎระเบียบ ซึ่งนับเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาคธุรกิจและการดึงดูดการลงทุน และอาจเป็นความเสี่ยงสำคัญในการเข้าเป็นสมาชิก OECD
ข้อค้นพบสำคัญจากการผลสำรวจความคิดเห็นและประสบการณ์ของประชาชนทั่วไป (GPP)เสรีภาพมากขึ้น-ทุจริตกว่าเดิม-ไม่(กล้า)ทวงความยุติธรรม: เสียงจากประชาชน
เมื่อสำรวจความคิดเห็นของภาคครัวเรือน (GPP) 1,100 ครัวเรือนทั่วประเทศ ซึ่งสะท้อนประสบการณ์การรับรู้ของประชาชนต่อปัจจัยด้านหลักนิติธรรมต่าง ๆ เปรียบเทียบกับการสำรวจ GPP ครั้งล่าสุดในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2561 ผลคะแนนชี้ว่า ประชาชนรับรู้เรื่องเสรีภาพพื้นฐานดีขึ้นอย่างมากในทุกด้าน อาทิ
• เห็นด้วยว่าประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นต่อต้านรัฐบาล เพิ่มขึ้นจาก 68% เป็น 85%
• ประชาชนอีก 90% เห็นด้วยว่าสามารถรวมกลุ่มทางสังคมเกี่ยวกับประเด็นที่สนใจได้ โดยเฉพาะเรื่องศาสนา
• อย่างไรก็ดี พบว่ามีรายงานการถูกเลือกปฏิบัติมากขึ้นเกือบสามเท่า จาก 10% ในปี 2561 เป็น 28% ในปี 2568 โดยมักถูกเลือกปฏิบัติในด้านอายุ รูปลักษณ์ภายนอก และเพศ
ผลสำรวจการรับรู้เกี่ยวกับการทุจริตและความไว้วางใจต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เมื่อแยกประเด็นการรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับการทุจริตส่วนของการทุจริตคอร์รัปชันออกมาเป็นภาคส่วนต่างๆ จะเห็นได้ ดังนี้
• ประชาชน 45% ที่ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีการทุจริต
• ประชาชน 40% ที่ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางมีการทุจริต
• ประชาชน 36% ที่ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าตำรวจส่วนใหญ่หรือทั้งหมดมีการทุจริต แต่ลดลงจากปี 2561 ที่มีถึง 43%
• ส่วนการรับรู้ว่ามีการทุจริตในผู้พิพากษา อัยการ และทนายความฝ่ายจำเลย แม้จะยังเป็นส่วนที่ประชาชนยังเห็นว่ามีการทุจริตน้อยที่สุด แต่ก็เพิ่มขึ้นจากเดิม 5-7%
• ผลสำรวจยังสะท้อนว่าประชาชนมีประสบการณ์ในการจ่ายสินบนเพื่อการออกใบอนุญาตของภาครัฐเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า จาก 7% เป็น 19%
• อย่างไรก็ตาม 80% ของประชาชนที่ตอบแบบยังคงให้ความไว้วางใจต่อผู้พิพากษาและผู้พิพากษาศาลแขวง ประชาชน 76%ไว้วางใจต่ออัยการ และอีก 73% ไว้วางใจต่อทนายจำเลยสาธารณะ
การรับรู้ของประชาชนด้านความปลอดภัยและความยุติธรรมทางอาญา
ประชาชนที่ตอบแบบสำรวจ 89% รู้สึกปลอดภัยหรือปลอดภัยมากเมื่อเดินในละแวกบ้านตอนกลางคืน โดยผู้อาศัยในชนบทจะรู้สึกปลอดภัยมากกว่าผู้อาศัยในเมือง ขณะที่ผู้ที่มีรายได้จำกัด ผู้มีการศึกษาสูงและคนหนุ่มสาวจะมีความรู้สึกปลอดภัยน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ
• ผู้ตอบแบบสำรวจที่พบว่ามีอัตราการตกเป็นเหยื่อเหยื่ออาชญากรรม อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำที่ 11%
• แต่ที่น่าสนใจคือน้อยกว่า 1 ใน 3 (32%) ของผู้เคยตกเป็นเหยื่อไม่รายงานอาชญากรรรมต่อทางการ ซึ่งอาจชี้ถึงอุปสรรคในการเข้าถึงการแก้ไขปัญหาผ่านกระบวนการยุติธรรม
• ผู้ตอบแบบสำรวจ 80% ยังคงเชื่อมั่นว่าระบบยุติธรรมจะสามารถนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้
• ผู้ตอบแบบสำรวจ 83% เชื่อว่าตำรวจยังช่วยให้รู้สึกปลอดภัย
• ผู้ตอบแบบสำรวจ 81% สามารถแก้ปัญหาในชุมชนได้เช่นเดียวกับปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเคารพ
• แต่ก็ยังพบว่ามีผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 17% ที่กล่าวว่าตำรวจจะไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องสงสัยตามสถานะทางเศรษฐกิจ
TIJ ให้คำมั่นร่วมขับเคลื่อนภาคีสู่การปฏิรูปประเทศ
นอกจากข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนหลักนิติธรรมในอนาคตแล้ว ในงานยังได้เปิดเวทีระดมความคิดเห็นผู้กำหนดนโยบายและผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูง นำโดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ The Invisible Infrastructure: Rule of Law as the Cornerstone of Thailand’s Future” โดยระบุว่า จากการได้รับเชิญจาก OECD ให้เข้าร่วมการประชุม OECD Global Roundtable on Equal Access to Justice ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้เห็นถึงการตื่นตัวของประชาคมโลกและกลุ่มประเทศสมาชิก OECD ในประเด็น “หลักนิติธรรมและธรรมาภิบาลภาครัฐ” โดยถือเป็นหัวใจสำคัญที่กลุ่มประเทศที่อยู่ระหว่างการปฏิรูปจะต้องพัฒนาเพื่อให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการเข้าเป็นสมาชิก OECD เพราะการมีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง หมายถึงการมีโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมที่ถูกหล่อหลอมขึ้นจากระบบกฎหมาย ระบบยุติธรรม และระบบธรรมาภิบาลภาครัฐที่เข้มแข็ง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดความสำเร็จและความยั่งยืนทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประสบการณ์การทำงานในฐานะนักกฎหมายที่ผ่านมา หลักนิติธรรม ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักทั้งของการสร้างระบบธรรมาภิบาลและระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีรัฐธรรมนูญที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนก็อาจยังไม่มีความยุติธรรมถ้าไม่มีหลักนิติธรรม ถ้าประชาชนไม่รู้สึกว่ากฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคารพหรือยอมรับกฎหมาย เพราะกฎหมายถูกใช้บังคับอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เสมอภาค มีหลายมาตรฐาน และไม่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นการสร้างสมดุลระหว่างอำนาจรัฐและสิทธิของประชาชน โดยมุ่งยกระดับขีดความสามารถของรัฐ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เช่นเดียวกับการที่เราต้องพยายามสร้างตัวชี้วัดให้สามารถสำรวจลงไปให้ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของประชาชนด้วย เพื่อให้เห็นด้วยว่า คนไทยมีทัศนคติต่อกฎหมายเป็นอย่างไร เพราะถ้าประชาชนไม่เชื่อมั่นต่อกฎหมายของประเทศก็จะเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน
รองนายกรัฐมนตรี ย้ำอีกว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปฏิรูปกฎหมายให้ทันสมัย เช่น การเร่งรัดการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลคู่ไปกับการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ ด้วยการเสนอร่างพระราชบัญญัติยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย ดำเนินการปฏิรูปกฎระเบียบครั้งใหญ่เพื่อแก้ปัญหากฎหมายล้าสมัย เพื่อสร้างสมดุลระหว่างสิทธิเสรีภาพของภาคเอกชนและสิทธิของประชาชนกับผลประโยชน์ของรัฐ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจึงจะสำเร็จ
ในฐานะที่ประเทศไทยมีเป้าหมายเข้าเป็นสมาชิก OECD และได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม OECD Roundtable ในปี 2570 จึงจัดให้มีกลไกระดับชาติ และแต่งตั้งหน่วยงานของประเทศที่ต้องทำงาน ยกระดับด้านหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาลภาครัฐร่วมกับ OECD อย่างต่อเนื่อง อีก 3 หน่วยงาน ได้แก่ 1. สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบประเมินผลหน่วยงานราชการเพื่อสร้างแรงจูงใจในการยกระดับธรรมาภิบาลสู่มาตรฐาน OECD 2. สถาบันพระปกเกล้า ทำหน้าที่ช่วยสนับสนุนการสื่อสารและสร้างความเข้าใจกับฝ่ายนิติบัญญัติ และ (3) สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ที่จะทำหน้าที่เตรียมความพร้อมร่วมกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคมให้เข้ามาร่วมมือกันยกระดับหลักนิติธรรม เพื่อให้การปฏิรูปหลักนิติธรรม สามารถเดินหน้าได้จริง
“รายงานดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมไทยที่ WJP นำเสนอในวันนี้ เป็นฐานข้อมูลที่แสดงให้เห็นต้นทุนที่สำคัญใน 2 ประเด็น คือ ความเชื่อมมั่นของคนไทยต่อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไทย และแสดงให้เห็นภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่จะส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติว่าจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยหรือไม่ เพราะนักลงทุนจะตัดสินจากความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรมในประเทศ ดังนั้นหลักนิติธธรมจึงมีความสำคัญเป็น Invisible Infrastructure”
รองนายกรัฐมนตรี ปิดท้ายโดยแสดงความคาดหวังว่า หน่วยงานที่ได้รับการแต่งตั้งให้ประสานงานในการเข้าเป็นสมาชิก OECD จะมีบทบาทสำคัญช่วยกันจัดทำกรอบยุทธศาสตร์ด้านหลักนิติธรรมสำหรับประเทศไทย ซึ่งเป้าหมายในการทำงานนี้ ไม่ใช่เพื่อทำให้ประเทศไทยได้คะแนน Rule of Law Index ดีขึ้น แต่ต้องทำเพื่อให้คนไทยมีความเชื่อมั่นต่อระบบกฎหมาย ทำเพื่อให้เห็นว่า “หลักนิติธรรม” เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในระบบยุติธรรมไทย และมีอยู่ในจริงในรากวัฒนธรรมของประเทศไทย
ในเวทีเดียวกัน ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ และ มาร์ค ลูอิส หัวหน้าฝ่ายความร่วมมือภาครัฐของโครงการยุติธรรมโลก (World Justice Project: WJP) ได้ร่วมกล่าวเปิด โดยกล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง WJP และประเทศไทยในการส่งเสริมหลักนิติธรรมในครั้งนี้ว่าถือเป็นโอกาสอันดียิ่งที่ความร่วมมือก้าวหน้าไปอีกขั้น ด้วยการส่งเสริมการนำข้อมูลเชิงประจักษ์มาใช้เพื่อเป็นแนวทางในการเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนนโยบาย อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างหลักนิติธรรมให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
ผู้อำนวยการ TIJ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา TIJ ได้สนับสนุน WJP ในการจัดทำบทแปล รวมถึงการปรับปรุงชุดคำถามในการเครื่องมือสำรวจด้วยการแปลและปรับบริบทเป็นภาษาไทย เพื่อช่วยสร้างความรับรู้และความเข้าใจแก่ผู้ร่วมตอบแบบสอบถามและผู้สนใจและสอดคล้องกับสังคมไทย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลผลการสำรวจที่ได้รับจะมีความเที่ยงตรง แม่นยำ และสะท้อนประสบการณ์จริงของสังคมไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ และช่วยให้การแปลผล วิเคราะห์ผล มีความเชื่อมั่นในทางสถิติที่สมบูรณ์ที่สุด ก่อนจัดทำเป็นรายงาน “สถานการณ์หลักนิติธรรมในประเทศไทย”
พร้อมย้ำด้วยว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรมีกรอบนโยบายด้านหลักนิติธรรมระดับชาติ ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือน Blueprint ของประเทศ ซึ่งเกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน บนข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งการมี Blueprint ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ต้องทำให้กระบวนการครั้งนี้สร้างความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างไปจากเดิม
“Blueprint นี้ไม่ใช่แผนของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง และไม่ใช่แผนของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่ควรทำหน้าที่เป็นกรอบทิศทางการทำงานอย่างที่มีความต่อเนื่อง และมีลักษณะเป็น 'เอกสารที่มีชีวิต' (Living Document) ซึ่งมีความยืดหยุ่นและพร้อมปรับปรุงให้ทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ ตามข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้รับมาเป็น Feedbacks เพื่อให้มั่นใจว่าแผนงานนี้จะสะท้อนปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของประชาชน และเป็นพื้นที่กลางที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของประเทศร่วมกัน”
ด้าน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการ TIJ กล่าวปิดงาน ในหัวข้อ “The Way Forward: Transforming Commitment into Action” โดยเน้นย้ำถึง ข้อเสนอยุทธศาสตร์ความสำเร็จการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและประสบความสำเร็จในการเข้าสู่สมาชิก OECD ของไทย คือการใช้โมเดล International Pull – Domestic Push หรือแรงดึงจากสากล ผสานแรงผลักจากภายใน แรงดึงสากล คือ การใช้มาตรฐานโลกจากกรอบ OECD และตัวชี้วัด WJP เป็นแรงดึงให้เกิดการยกระดับมาตรฐานในประเทศให้ทัดเทียมนานาประเทศ ผสานแรงผลักจากภายใน คือ เครือข่ายความร่วมมือในประเทศทุกภาคส่วนที่พร้อมจะขับเคลื่อนไปด้วยกัน
นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่า TIJ พร้อมจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานการเปลี่ยนแปลงนี้ เริ่มจากก้าวสำคัญในการประชุมหารือเชิงยุทธศาสตร์ “Strategic Dialogue: Designing Thailand’s Rule of Law Policy Framework” ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการเปลี่ยนผ่านจาก “ข้อมูล” (Insights) สู่ “ผลลัพธ์เชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Results) เพื่อร่วมกันออกแบบกรอบนโยบายด้านหลักนิติธรรมของประเทศไทยให้เกิดขึ้นจริงที่จะจัดขึ้นในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ที่อาคารสำนักงาน TIJ
ในงานนี้ยังมีการเสวนาเชิงยุทธศาสตร์ (High-level Strategic Dialogue) “Realizing the Rule of Law: Strategic Directions to Strengthen Institutional Trust and Effectiveness” ร่วมด้วย ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และศาสตราจารย์กิตติคุณ วิทิต มันตาภรณ์ ผู้รายงานพิเศษ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเจนีวา (UN Special Rapporteur) ดำเนินรายการโดย ดร.อณูวรรณ วงศ์พิเชษฐ์ รองผู้อำนวยการ TIJ โดยได้ข้อสรุปข้อเสนอถึงการสร้าง “Quick Wins” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นได้ทันทีใน 3 เสาหลัก คือ การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง (Anti-Corruption) การผลักดันรัฐบาลเปิดและข้อมูลเปิด (Open Government & Open Data) เพื่อความโปร่งใส และการปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory Reform) เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
รายงานสถานการณ์หลักนิติธรรมในประเทศไทยดังกล่าว ตลอดจนองค์ความรู้จากการแลกเปลี่ยนในเวทีเสวนา Thailand’s Rule of Law Landscape: Transforming Insights into Impact จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับหลักนิติธรรมไทยให้เข้มแข็ง พร้อมสร้างเสถียรภาพให้ประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต
เกี่ยวกับ TIJ
สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) เป็นองค์กรที่ทำงานประสานความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อผลักดันมาตรฐานสากลให้มาปรับใช้กับกระบวนการยุติธรรมไทยมาตลอด 15 ปี รวมทั้งเป็นองค์กรที่ทำงานเพื่อชี้ให้เห็นช่องทางในการยกระดับหลักนิติธรรมไทยมาโดยตลอด โดยมีบทบาทเป็น “พันธมิตรทางองค์ความรู้” ที่ใกล้ชิดกับ WJP และ OECD มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวคิด whole-of-society approach ที่มุ่งเชื่อมประสานความร่วมมือและองค์ความรู้จากทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม


