xs
xsm
sm
md
lg

ยกระดับ "ข้อกำหนดกรุงเทพ" สู่โครงการ Bangkok Rules Accelerator: เปิดเวที "15 ปี จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ" พลิกโฉมกระบวนการยุติธรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวคุณภาพชีวิต



ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำความผิดหญิง (United Nations Rules for the Treatment of Women Prisoners and Non-custodial Measures of Women Offenders) หรือ “ข้อกำหนดกรุงเทพ” (The Bangkok Rules) ได้รับการลงมติจากที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติและประกาศเป็นข้อกำหนดสหประชาชาติ ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แต่ก่อนหน้านั้น ผู้หญิงคือผู้ที่ถูกลืมในเรือนจำ!
ข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง พ.ศ. 2498 ที่มีมาก่อน “ข้อกำหนดกรุงเทพ” เป็นมาตรฐานที่มีขึ้นเพื่อการคุ้มครองสิทธิผู้ที่อยู่เรือนจำอย่างเท่าเทียม แต่ความเท่าเทียมนั้น เมื่อเทียบกับผู้ชายแล้ว ผู้ต้องขังหญิงมีสรีระ สุขภาวะด้านการเจริญพันธุ์ และภูมิหลังทางสังคมแตกต่างกับผู้ชาย ส่งผลให้สิทธิที่พึงมีของพวกเธอถูกมองข้าม

ข้อกำหนดกรุงเทพจึงถือกำเนิดขึ้น ด้วยแรงบันดาลใจจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา หลังจากทรงพบเห็นถึงสภาพปัญหาของผู้ต้องขังหญิงที่ยากลำบาก ใน พ.ศ. 2544 ว่าเรือนจำเป็นสถานที่คุมขังที่ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อสนองตอบต่อเพศสภาพของผู้หญิง ทำให้พวกเธอต้องประสบกับปัญหาด้านสุขอนามัยและคุณภาพชีวิต
 
โดยเฉพาะผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และมีลูกติด
เริ่มจากโครงการกำลังใจ ในพระราชดำริ พ.ศ. 2549 กระทั่งเกิดเป็นการจัดตั้งโครงการ Enhancing Life of Female Inmate (ELFI) โครงการจัดทำข้อเสนอการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้หญิงในเรือนจำในนามประเทศไทย เพื่อผลักดันให้เป็นข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และได้รับการประกาศให้เป็นข้อกำหนดสหประชาชาติในชื่อ “ข้อกำหนดกรุงเทพ” เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศไทย ใน พ.ศ. 2553 โดยเป็นข้อกำหนดแรกของโลกที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดความยุติธรรมที่คำนึงถึงเพศสภาพ

สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ เป็นสถาบันที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อการขับเคลื่อนข้อกำหนดกรุงเทพอย่างเป็นรูปธรรมทั้งในประเทศและในเวทีโลก โดยมีความร่วมมือกับ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องในการนำข้อกำหนดเพื่อผู้หญิงในเรือนจำนี้มาใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ตั้งแต่กระบวนการแรกรับผู้ต้องขัง การฟื้นฟูเยียวยาในเรือนจำ การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย การติดตามผลภายหลังการปล่อยตัว รวมทั้งการศึกษาวิจัยแนวทางการพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญาเพื่อผู้หญิง นำไปสู่โครงการที่ประสบความสำเร็จ เช่น โครงการเรือนจำต้นแบบ โครงการพัฒนาต้นแบบการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย (Pre-Release Model) โรงเรียนตั้งต้นดี (Restart Academy) การอบรมเจ้าหน้าที่เรือนจำทั้งในระดับผู้บริหารและระดับปฏิบัติการจากทั่วโลกว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงให้สอดคล้องกับข้อกำหนดกรุงเทพ

อย่างไรก็ดี ความพยายามเพื่อการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงโดยคำนึงถึงเพศภาวะในช่วงที่ผ่านมายังคงประสบความท้าทาย โดยพบว่า มีแนวโน้มการเพิ่มจำนวนของประชากรหญิง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสูงกว่าในปี พ.ศ. 2543 ถึง 57% เมื่อรวมจำนวนประชากรหญิงและเด็กผู้หญิงในเรือนจำอยู่ที่ 733,000 คน หรือคิดเป็น 6.9% ของจำนวนประชากรเรือนจำโลก ในขณะที่ทั่วโลกยังคงมีนโยบายเน้นการลงโทษด้วยการจำคุก โดยเฉพาะในคดียาเสพติด การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังโดยขาดการคำนึงถึงเพศภาวะ การขาดแคลนบุคลากรและงบประมาณในการบริหารจัดการเรือนจำ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูเยียวยาและกลับคืนสู่สังคมอย่างยั่งยืนของผู้ต้องขังหญิง

 


ในโอกาสครบรอบ 15 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพ TIJ จึงได้ร่วมกับ UNODC เปิดการประชุมนานาชาติ “จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ: 15 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพและอนาคตของกระบวนการยุติธรรมที่สนองตอบต่อเพศภาวะ” (From Vision to Action: 15 Years of the Bangkok Rules and the Future of Gender-Responsive Criminal Justice) โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงให้เป็นมากกว่ากฎระเบียบที่นานาประเทศยอมรับ แต่ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ระดับโลก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ที่อาคาร TIJ กรุงเทพฯ

“กระบวนการยุติธรรมที่คำนึงถึงเพศภาวะมิใช่เพียงเรื่องของความถูกต้องตามหลักการเท่านั้น แต่คือรากฐานสำคัญของการสร้างสันติภาพ การมีส่วนร่วมของคนทุกกลุ่ม และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (United Nations Sustainable Development Goals หรือ SDGs)”

นั่นคือสาระสำคัญของการประชุมในวาระครบรอบ 15 ปี พร้อมกับการเปิดตัวโครงการ Bangkok Rules Accelerator จุดยืนใหม่ของ "ข้อกำหนดกรุงเทพ" ในฐานะส่วนสำคัญของการ “ขับเคลื่อนระเบียบวาระโลก (Global Agenda)” โดยเฉพาะวาระสตรี สันติภาพ และความมั่นคง (Women, Peace and Security agenda หรือ WPS agenda) โดยได้รับเกียรติจาก นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกุล กล่าวปาฐกถาเปิดงาน ดร. พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ ร่วมกล่าวเปิดงาน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการ TIJ กล่าวปาฐกถาพิเศษ และนางสาวเดลฟีน ชานท์ส ผู้แทน UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก กล่าวปิดงาน

“ในช่วงหนึ่งทศวรรษครึ่งที่ผ่านมา ข้อกำหนดกรุงเทพได้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดทำกฎหมายและแนวปฏิบัติทั่วโลก ข้อกำหนดยังสะท้อนวาระแห่งชาติของไทยที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างหลักนิติธรรมและการรับรองว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาของเรามีความเป็นธรรม ได้สัดส่วน และมีประสิทธิภาพ หลักการเหล่านี้สำคัญยิ่งไม่เพียงต่อความยุติธรรม แต่มีผลต่อความเข้มแข็งของชาติ ความสงบสุข และการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม” นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกุล กล่าวในปาฐกถาเปิดงาน

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันพบอุปสรรคและความท้าทายจากจำนวนผู้ต้องขังหญิงที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การมุ่งเน้นการใช้โทษจำคุกกับคดีที่ปราศจากความรุนแรงหรือเพราะความยากจน ทำให้เห็นว่ายังมีช่องโหว่ในการป้องกัน คุ้มครอง และสนับสนุนผู้หญิง

“ประเทศไทยและ UNODC จึงภูมิใจที่จะนำเสนอโครงการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อกำหนดกรุงเทพ โครงการระดับโลกที่ออกแบบเพื่อแปลงวิสัยทัศน์แห่งข้อกำหนดกรุงเทพให้เป็นการดำเนินการอย่างบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ อันจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมในอีกห้าปีข้างหน้า และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

 


สำหรับโครงการ Bangkok Rules Accelerator หรือ “โครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามข้อกำหนดกรุงเทพ” เป็นโครงการระดับโลกที่สนับสนุนการขับเคลื่อนข้อกำหนดกรุงเทพอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถวัดผลได้ โดยจะเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการนำข้อกำหนดกรุงเทพไปปฏิบัติ ด้วยการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค การให้คำปรึกษาเชิงนโยบาย และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร แก่ประเทศนำร่องที่มุ่งมั่นพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ตอบสนองต่อมิติทางเพศภาวะ อีกทั้งมุ่งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา นักวิชาการ และภาคีเครือข่ายด้านการพัฒนา เพื่อร่วมกันพัฒนามาตรการที่มิใช่การคุมขัง การฟื้นฟูและการกลับคืนสู่สังคม และการออกแบบนโยบายที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์

ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คือการลงทุนที่คุ้มค่า
ในการประชุมดังกล่าว ยังได้มีการจัดเสวนาหัวข้อหลัก “ข้อกำหนดกรุงเทพในบริบทโลก: การสร้างกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ตอบสนองต่อเพศภาวะเพื่อสันติภาพและความยั่งยืน” ซึ่งเน้นย้ำถึงการเชื่อมโยงหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนเข้ากับมิติการพัฒนามนุษย์อย่างเป็นรูปธรรม โดยผู้ร่วมเสวนาได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนถึงมุมมองด้านการพัฒนาต้นทุนมนุษย์ (Human Capital) ในการแก้ไขฟื้นฟูและการกลับคืนสู่สังคม ข้อกำหนดกรุงเทพในมิติด้านสตรี สันติภาพ และความมั่นคง การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน และ การขจัดวงจรความเหลื่อมล้ำระหว่างรุ่น

ผู้ร่วมเสวนาสะท้อนมุมมองตรงกันว่าการปฏิบัติตามข้อกำหนดกรุงเทพ คือการยึดมั่นในหลักสากลว่าด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเท่าเทียม ในขณะเดียวกัน ยังถือเป็นการลงทุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่คุ้มค่าที่สุด เพราะการคืนศักยภาพให้ผู้หญิงผ่านโอกาสทางการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการเตรียมความพร้อมกลับสู่สังคม ไม่เพียงช่วยให้พวกเธอมีชีวิตที่มีคุณค่า แต่ยังเป็นการพัฒนาต้นทุนมนุษย์ ที่ส่งผลประโยชน์ระยะยาวต่อความมั่นคงของสถาบันครอบครัว ชุมชน และระบบเศรษฐกิจของประเทศชาติ

ทั้งนี้ การประชุมนานาชาติ “จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ: 15 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพและอนาคตของกระบวนการยุติธรรมที่สนองตอบต่อเพศภาวะ” มีผู้เข้าร่วมจากภาคีเครือข่ายทั่วโลก ทั้งผู้กำหนดนโยบาย ผู้ปฏิบัติงาน นักวิชาการ และผู้ที่สนใจ เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนข้อกำหนดกรุงเทพ แลกเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาและความท้าทาย และนำเสนอแนวทางการดำเนินงานร่วมกันในระยะต่อไป








เกี่ยวกับผู้จัดงาน
สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) หรือ Thailand Institute of Justice (TIJ) เป็นสถาบันส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนากระบวนการยุติธรรม การมีส่วนร่วมของประเทศไทยในกรอบความร่วมมือกับสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา และเชื่อมโยงแนวคิดตามหลักสากลสู่การปฏิบัติในระดับประเทศและในภูมิภาคอาเซียน โดยมีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมให้มีการนำ “ข้อกำหนดกรุงเทพ” มาตรฐานสหประชาชาติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องไปใช้ ตลอดจนขับเคลื่อนประเด็นสำคัญ เช่น หลักนิติธรรม การพัฒนา สิทธิมนุษยชน สันติภาพ และความมั่นคงให้สังคมรับรู้และตระหนักถึงความสำคัญเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
กำลังโหลดความคิดเห็น