MGR Online - "ดีเอสไอ" รับเป็นคดีพิเศษ บ.สิงคโปร์ ทำธุรกิจสแกนม่านตา พบมีข้อมูลคนไทยกว่า 1.2 ล้านคน หลัง "ไชยชนก" ขอประสานตรวจสอบโยงเอี่ยว “เบน สมิธ”
วันนี้ (10 ธ.ค.) รายงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุภายหลังจากที่ นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ประสานขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงาน ปปง. ช่วยดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างกระทรวงดีอีฯ ในยุคสมัยของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง และบริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore หลังจากพบเส้นทางเชื่อมโยงขบวนการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลก แต่ใน MOU ได้ระบุว่า จะร่วมกันจัดทำโครงการศูนย์กลาง ธุรกิจดิจิทัลและการเงิน (TIDC) นั้น
กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องดังกล่าวดำเนินการเป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว โดยเป็นเลขคดีพิเศษที่ 148/2568 กรณีธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอเรนซี ภายใต้โครงการ Worldcoin ซึ่งจะดูในฐานความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 “ ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” (1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา (2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน (3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา (4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ (5) เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
รายงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุถึงความเป็นมาของคดีพิเศษที่ 148/2568 กรณีธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอเรนซี ภายใต้โครงการ Worldcoin ว่า เรื่องนี้มันมีความเชื่อมโยงกับบริษัทที่รับสแกนม่านตา ตามที่เคยปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งพบว่าในปี 2567 มีคนไทยจำนวนกว่า 1.2 ล้านคนทั่วประเทศได้ทำการสแกนม่านตาไปแล้วผ่านเครื่อง Orb สแกนม่านตาเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์ (Proof of Human) และมอบเหรียญดิจิทัล Worldcoin (WLD) ให้กับผู้เข้าร่วม ซึ่งเรื่องทั้งหมดมันเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เพราะมันมีการอ้างว่าเมื่อสแกนม่านตาแล้วจะมีการจ่ายเป็นเหรียญดิจิทัล
อีกทั้ง เรื่องนี้ก็มีขบวนการทีมงานมาติดตั้งเครื่องสแกนม่านตา ทำการเชิญชวนให้ประชาชนมาสแกนม่านตา และมีการรับซื้อเหรียญดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอ ก็ได้มีการตรวจสอบดูในส่วนของต่างประเทศด้วยว่าเครื่องสแกนม่านตามันทำงานอย่างไร และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง มีฟังก์ชันการทำงานแตกต่างจากเครื่องที่ถูกติดตั้งในไทยอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ดีเอสไอได้มอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดเชิงลึกคู่ขนานด้วย เพราะค่อนข้างเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน โดยเฉพาะมิติอาชญากรรมทางเศรษฐกิจระดับโลก
อย่างไรแล้ว หากดูรายละเอียดในบันทึกข้อตกลง มันค่อนข้างเป็นประโยชน์ก็จริง แต่พอเรื่องนี้มันไปเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงกับนายเบน สมิธ และพวก จึงต้องขยายผลดูอย่างละเอียด นอกจากนี้ “ม่านตา” ในหลักการของสถาบันวิทยาศาสตร์นั้น ได้มีการยืนยันว่าม่านตาเทียบเท่ากับสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) เพราะมันสามารถใช้ยืนยันอัตลักษณ์บุคคลได้ เพียงแต่ว่าความแตกต่างคือ ดีเอ็นเอจะต้องมีการตรวจเจาะเลือด แต่ม่านตากลับสามารถสแกนและเก็บข้อมูลได้เลย จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่เราต้องลงลึกไปดูว่าข้อมูลสแกนม่านตาของคนไทยจำนวน 1.2 ล้านคน ถูกนำไปใช้ทำอะไรแล้วบ้าง จึงต้องขอระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานก่อน แต่เบื้องต้น ดีเอสไอก็ได้มีการดำเนินการสอบปากคำพยานซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับเหรียญดิจิทัลชื่อดังรายหนึ่งของไทยไปแล้ว อย่างไรคงต้องรอข้อมูลรายละเอียดผลสอบปากคำพยานอย่างครบถ้วนก่อน จึงจะทำให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น


