ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) เปิดแผนหลอกของมิจฉาชีพห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพบใช้ระบบจ่ายเงินแบบ E-wallet อ้างใช้แต้มแลกของรางวัล หลอกเอาข้อมูลและเงินจากเหยื่อ ขณะที่แก๊งอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ DSI ตุ๋นพยาบาลจบใหม่เรียกค่าไถ่ปลอมจากผู้ปกครองสูญเงินกว่า 8 แสนบาท
วันนี้ (8 ธ.ค.) ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะรอง ผอ.ศปอส.ตร. เปิดสถิติคดีและความเสียหายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีการดำเนินการสืบสวนจับกุมพร้อมช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกหลอกลวงภายใต้ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.- 6 ธ.ค.68 มีคดีที่รับแจ้งเข้ามาผ่านทาง Thaipoliceonline จำนวน 7,353 เคส มูลค่าความเสียหาย 411,285,507 บาท (เฉลี่ย 58.75 ล้านบาทต่อวัน) ซึ่งคดีที่รับแจ้งเพิ่มขึ้นจากห้วงวันที่ 23 - 29 พ.ย.68 จำนวน 827 เคส แต่กลับพบว่ามูลค่าความเสียหายลดลง 16,727,788 บาท สะท้อนให้เห็นยุทธวิธีของคนร้ายที่เปลี่ยนไปเน้น “ปริมาณมากกว่ามูลค่า”
สำหรับแพลตฟอร์มที่ถูกใช้ในแผนประทุษกรรม ยังคงเป็น FACEBOOK ซึ่งมีจำนวนครั้งแจ้งความสูงสุดกว่า 3,274 ครั้ง แต่ในทางกลับกันในแง่ความเสียหายสูงสุดกลับพบในกลุ่ม ช่องทางอื่นๆ บ่งชี้ถึงการกระจายความเสี่ยงของคนร้ายไปยังแพลตฟอร์มมหรือวิธีการใหม่ๆ ดังนั้นประชาชนต้องรู้เท่าทันถึงกลลวงที่คนร้ายใช้แต่ละแพลตฟอร์มเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย
หากนับเชิงปริมาณ ของคดีที่มีการแจ้งเข้ามา อันดับ 1 ยังคงเป็นการหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่มีจำนวนมากถึง 61.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการจับจ่ายในช่วงต้นเดือนและกระแสโปรโมชั่นส่งท้ายปีที่กำลังจะมาถึง เป็นภัยที่ใกล้ตัว เข้าถึงง่าย และอาศัยความประมาทหรือความอยากได้ในสินค้าราคาถูกเป็นจุดโจมตีเหยื่อ ขณะที่อันดับที่ 2. คือการหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล และอันดับที่ 3.คือการหลอกให้โอนหารายได้พิเศษ
ขณะที่หากเทียบในเชิงมูลค่าความเสียหาย เป็นไปตามสัปดาห์ก่อนหน้าที่ อันดับ 1.คดีหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล อันดับ 2. เป็นการหลอกลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ สะท้อนว่ามิจฉาชีพยังใช้ “ข้ออ้างผลตอบแทนสูง” ดึงเหยื่อได้ดี ส่วนอันดับ 3 คือการหลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ขณะเดียวกันปรากฏการณ์ ม้าข้ามแดนหนีตาย ที่เกิดจากปฏิบัติการกวาดล้างศูนย์สแกมในพื้นที่ ชเวโก๊กโก่และKK Park ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานและบัญชีม้าจำนวนมากหนีข้ามแดนเพื่อลดความเสี่ยง ขบวนการจึงมีการปรับยุทธวิธีหนีการตรวจจับ โดยหันไปใช้ บัญชีสัญชาติเพื่อนบ้าน (ลาว กัมพูชา มาเลเซีย) แทนบัญชีไทย เริ่มใช้ E-wallet ในการหลอกลวงมากขึ้น
สำหรับแผนประทุษกรรมคนร้ายที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้ล่อลวงผู้เสียหายในรอบสัปดาห์ พบว่ามีการใช้
E-wallet ด้วยการส่ง SMS ปลอมอ้างชื่อ PTT หรือ Café Amazon หลอกว่าคะแนนสะสมใกล้หมดอายุ หรือแลกของรางวัล เพื่อหลอกเอาข้อมูล หรือให้โอนเงิน ขณะที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มุ่งเป้าผู้สูงอายุ โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าก็ยังคงระบาด กับอุบายเดิม อย่าง “หลอกคืนเงินค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า” หรือ “เปลี่ยนหม้อแปลงไฟฟ้า” ก่อนจะให้แอดไลน์ปลอมของการไฟฟ้า จากนั้นหลอกให้ติดตั้งแอปฯดูดเงินหรือสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตน หลอกให้เปลี่ยนภาษา สุดท้ายเหยื่อหลงกลสูญเสียเงินในบัญชีจำนวนมาก เช่นเดียวกับการหลอกขายสินค้าผ่าน Social Media โดยยอดฮิตยังคงเป็นบัตรคอนเสิร์ต ,โทรศัพท์มือถือมือสอง (หลุดจำนำ), สินค้าเกษตร (เมล็ดพันธุ์) ,สัตว์เลี้ยง (สุนัข ,แมว ) และอื่นๆ รวมไปถึงการหลอกทำงานพิเศษ/ลงทุน เริ่มต้นจากชวนทำงานง่ายๆ (กดรับออเดอร์,กดไลก์) แรกๆได้เงินจริงในยอดเงินน้อยๆ เพื่อสร้างความเชื่อใจ จากนั้นจะดึงเข้ากลุ่ม Line OpenChat เพื่อหลอกให้ลงทุนในยอดเงินที่สูงขึ้น สุดท้ายเมื่อเหยื่อจะถอนเงิน คนร้ายจะอ้างว่าติดเงื่อนไขต่าง ไม่สามารถถอนได้
อย่างไรก็ตาม เด็กเเละเยาวชนยังคงตกเป็นเหยื่อ ในกรณีที่คนร้ายโทรศัพท์มาแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ,DSI หรือ ป.ป.ง. โทรศัพท์มาข่มขู่เด็กและเยาวชน ให้เเอดไลน์ที่มีการปลอมโปรไฟล์เป็นหน่วยงานรัฐ และให้เด็กและเยาวชนวิดีโอคอล เพื่อควบคุมตัวทางออนไลน์ ก่อนบอกให้เด็กออกจากบ้านไปอยู่ลำพัง หลังจากนั้น คนร้ายจะโทรศัพท์หาผู้ปกครองให้โอนเงินเพื่อเรียกค่าไถ่ แลกกับการปล่อยตัวเด็ก
ทั้งนี้ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ ACSC และสามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงที โดยเป็นการเข้าตรวจสอบทั้งหมด 14 เคส และเราสามารถช่วยเหลือรวมทั้งระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ทั้งหมดจำนวน 23 ราย คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 4,362,200 บาท โดยมีเคสที่น่าสนใจ ดังนี้
คดีแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจพาผู้เป็นพ่อเข้าช่วยเหลือพยาบาลจบใหม่ วัย 23 ปี ในพื้นที่สน.มีนบุรี หลังถูกคนร้ายอ้างตัวเป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI โทรศัพท์ข่มขู่ว่าผู้เสียหายได้เปิดซิมการ์ดและบัญชีในการโทรศัพท์หลอกเหยื่อก่อนรับโอนเงินผิดกฎหมาย ก่อนลวงให้แอดไลน์เพื่อส่งบัตรข้าราชการปลอม พร้อมส่งเอกสารราชการรวมถึงหมายจับปลอมที่ระบุความผิดของผู้เสียหาย จากนั้นลวงเข้ากลุ่มไลน์อ้างจะให้การช่วยเหลือเหยื่อ โดยระหว่างนี้ข่มขู่ให้เหยื่อไปเปิดห้องพักหรือโรงแรมอยู่เพียงลำพัง ห้ามบอกใคร พร้อมให้วิดีโอคอล ถ่ายภาพหน้าตรงตัวเอง รายงานตัวทุกชั่วโมง ควบคุมทุกการเคลื่อนไหวพร้อมสั่งการตลอด ใช้คำพูดด้านจิตวิทยาเรียกเป็นลูกหลาน เพื่อให้เหยื่อตายใจ พร้อมให้โอนเงินให้ตรวจสอบอ้างว่าเป็นกระบวนการแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยโอนหลายรอบและหลายบัญชี ขณะเดียวกันให้หลอกผู้ปกครองและญาติว่าถูกเรียกค่าไถ่เพื่อให้โอนเงินมาให้เพิ่มเติม แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะพยายามใช้ไลน์ของผู้เป็นพ่อส่งข้อความบอกว่าผู้เสียหายกำลังถูกคนร้ายหลอกลวง แต่ขณะนั้นผู้เสียหายยังไม่เชื่อและยังคงวิดีโอคอลกับคนร้ายอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเข้าช่วยเหลือไว้ได้ มูลค่าความเสียหายกว่า 800,000 บาท
อีกคดี เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือผู้เสียหาย วัย 67 ปี ภายในบ้านพัก ย่านตลิ่งชัน ขณะที่ผู้เสียหายกำลังโอนเงินให้คนร้ายอย่างต่อเนื่อง โดยเคสนี้ผู้เสียหายได้สั่งซื้อโทรศัพท์มือถือผ่านทางข้อความเฟซบุ๊กชื่อ “Will Promotional” จากนั้นให้ผู้เสียหายติดต่อซื้อผ่านทาง TIKTOK ชื่อ “win william” ต่อมาได้แอดไลน์ตามลิงก์ที่ส่งมา แต่บัญชีไลน์ดังกล่าวกลับหลอกให้เหยื่อเล่นเกมส์ ตามลิงก์ที่ส่งมาให้ เมื่อได้กำไรจะโอนเข้าบัญชีกลับคืนผู้เสียหาย โดยมีการเล่นเกมส์ได้กำไรทั้งหมด 7 ครั้ง ซึ่ง6ครั้งก่อนหน้า คนร้ายหลอกให้ตายใจด้วยการโอนกำไรคืนทุกครั้ง กระทั่งครั้งสุดท้ายที่ผู้เสียหายโอนไปกว่า 51,893 บาท คนร้ายเชือดเหยื่อด้วยการอ้างว่าต้องโอนเพิ่มอีก 100,000 บาท จึงจะนำเงินที่โอนไปทั้งหมดออกมาได้ โชคดีที่เจ้าหน้าที่เข้าถึงตัวเหยื่อ แจ้งให้ทราบ พร้อมกับระงับการโอนเงินจำนวนดังกล่าวไว้ทัน


