MGR Online - "อนุทิน" ร่วมเปิดปฏิบัติการ ‘Operation Copperhead’ ทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อนโยงขบวนการจีนเทา - พม่า ยึดเครื่องขุด 3,642 เครื่อง ทำรัฐเสียหายกว่า 3 พันล้านบาท
วันนี้ (3 ธ.ค.) เวลา 16.30 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี , พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม , นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม , นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม , นายโกมล พรมเพ็ง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม , นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม , พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ , พ.ต.ต.จตุพล บงกชมาศ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ , ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ , นายธนะ โชคพระสมบัติ รองผู้ว่าการปฏิบัติการระบบไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของทั้ง 2 หน่วยงาน ร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อนภายใต้ชื่อปฏิบัติการ “Operation Copperhead”
นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ได้รับเชิญมารับทราบความคืบหน้าจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.อุทัยธานี ซี่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ให้ความมั่นใจว่าจะดำเนินการอย่างเข้มงวดจริงจัง ตรวจสอบเส้นทางการเงิน การฟอกเงิน ยึดอายัดทรัพย์สินที่กระทำผิดรวมถึงบัญชีม้า นอกจากทำธุรกิจผิดกฏหมายแล้ว ยัง อุกอาจลักลอบขโมยกระแสไฟฟ้าใช้ ทำให้รัฐสูญเสียพลังงานสูงมาก รัฐบาลจึงต้องใช้ทุกหน่วยงานสืบสวนปราบปรามเพื่อจัดการเรื่องนี้ ซึ่งจะปกป้องเศรษฐกิจและเรียกความเชื่อมั่นให้ประเทศไทย ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะได้ให้การไฟฟ้าภูมิภาค ดำเนินการตรวจสอบเรื่องลักลอบใช้ไฟฟ้าด้วย
ด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้ว่าสืบเนื่อง จากเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2568 ดีเอสไอและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อน "Operation Copperhead" ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร จำนวน 6 จุด และ จ.อุทัยธานี จำนวน 1 จุด รวมจำนวน 7 จุด ประกอบด้วย โกดัง 4 จุด และบ้านพัก 3 จุด
"ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึดอายัดเครื่องชุดบิดคอยที่จากโกดัง รวมทั้งสิ้น 3,642 เครื่อง ประมาณ 270 ล้านบาท มูลค่าระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ 30 ล้านบาท ประเมินมูลค่าของอุปกรณ์ทุนตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์เถื่อนทั้งระบบรวม 4 จุด มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ส่วนใหญ่ซุกช่อนบิตคอยท์ไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ ที่ถูกดัดแปลงด้วยนวัตกรรมใหม่ในการเก็บเสียง และใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบการลักลอบใช้ไฟฟ้า"
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวอีกว่า จากการขยายผลสืบสวนพบว่าผู้บงการรายใหญ่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม "จีนเทา" เครือข่ายในพม่า ซึ่งโยงกับขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติตรวจพบเส้นทางการเงินและผลประโยชน์ที่เกี่ยวพันกันเป็นเครือข่ายอย่างชัดเจน ดำเนินการกว่า 3 ปี ทำให้รัฐสูญรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อขยายผลเกี่ยวกับเส้นทางการฟอกเงินและการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง โดยเตรียมประสานความร่วมมือกับประเทศผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงทางการของจีน ซึ่งมีการหารือร่วมกันเบื้องต้นแล้ว เพื่อเร่งรัดการดำเนินคดีและสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวต่อว่า จากข้อมูลที่ตรวจพบ คาดว่ามีเงินหมุนเวียนภายในเครือข่ายมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยเส้นทางการเงินบางส่วนโยงเข้าสู่ระบบสินทรัพย์ดิจิตอล ประเภทบิตคอยน์ ทำให้เป็นหนึ่งในช่องทางสร้างรายได้ให้กับกลุ่มจีนเทาและเครือข่ายสแกมเมอร์ดังกล่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันว่าเดือนหน้าปราบปรามการลักลอบใช้ไฟฟ้า การฟอกเงิน และชญากรที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิตอล เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐความปลอดภัยของประชาชน
โดยก่อนหน้านี้ (31 ม.ค.2568) ดีเอสไอได้ปฏิบัติการ "รื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ"(Bitforge Operation) ตรวจยึดเครื่องขุดบิตคอยน์จำนวน 1,788 เครื่อง ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และทำการขยายผลสอบ จนพบการลักลอบใช้ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการชุดบิดคอยในกรณีดังกล่าว
จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และดีเอสไอได้ร่วมกันตรวจสอบของกลาง อุปกรณ์ที่ลักลอบใช้ไฟฟ้า ที่ดีเอสไอยึดมาได้จำนวนมาก พร้อมมอบนโยบายให้ดีเอสไอขยายผลปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในรูปแบบนี้ต่อไป


