MGR Online - "พล.ต.ท.คำรบ" เผย พยานคดีฮั้ว สว. "อั้งยี่-ฟอกเงิน" กลับคำให้การ อ้างถูกข่มขู่ พบพฤติการณ์เข้าข่ายความผิดแจ้งเท็จ ร้อง ดีเอสไอ ดำเนินคดี
วันนี้ (19 พ.ย.) เวลา 11.00 น. ณ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะ สว.สำรอง นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว พร้อมด้วย ผู้แทนสมาชิก ยื่นเอกสารเพื่อดำเนินการต่อกรณีมีผู้กลับคำให้การในคดีพิเศษที่ 24/2568 คดีฮั้ว สว. "อั้งยี่-ฟอกเงิน" โดยมี นายสมเกียรติ เพชรประดับ ผอ.ส่วนพิจารณาสำนวนร้องทุกข์ กองบริหารคดีพิเศษ เป็นตัวแทนรับเรื่อง
พล.ต.ท.คำรบ เปิดเผยว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวสารในสื่อมวลชนว่ามีพยานผู้ให้ถ้อยคำในคดีอั้งยี่และฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินคดีพิเศษที่ 24/2568 ซึ่งได้เคยให้ถ้อยคำที่เป็นสาระสำคัญในคดีไว้เกี่ยวกับพฤติการณ์ของผู้เกี่ยวข้องว่ามีส่วนร่วมในการกระทำผิดในการทุจริตในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา 2567 จำนวนหลายรายและบางรายเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองสำคัญ รวม 229 ราย แบ่งเป็น กลุ่มสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบัน 138 ราย และบุคคลที่เป็นนักการเมือง บางรายเป็นถึงระดับกรรมการบริหารพรรค 91 ราย รวมทั้งได้เคยให้ข้อมูลถึงที่มาและกรรมวิธีในการจัดทำโพยฮั้วในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาในรอบประเทศปี 2567 นี้ด้วย
พล.ต.ท.คำรบ เผยว่า ส่วนข้อความในสำเนาหนังสือที่พยานรายนี้ได้ขอกลับคำให้การ โดยอ้างว่าที่เคยให้การไว้เดิมนั้นเกิดจากการล่อลวง ข่มขู่ ให้การโดยการเตรียมเรื่องไว้ให้โดยตัวเองให้การไปเพราะเกิดความเกรงกลัวและได้ยื่นหนังสือลงวันที่ 29 ต.ค.68 ต่อ พนักงานสอบสวนของ สภ.เมืองขอนแก่น แล้วจึงได้แจ้งเรื่องมายังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อพิจารณา แต่ตามพฤติการณ์แล้วน่าเชื่อว่าพยานรายนี้เดิมน่าจะตกเป็นผู้ต้องหาที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีในการพิสูจน์การกระทำผิดของผู้กระทำผิดคนอื่นที่เป็นตัวการสำคัญและสามารถที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยการทำผิดของผู้กระทำความผิดนั้น จึงได้รับการกันตัวเป็นพยาน อย่างไรก็ตาม เมื่อพยานรายนี้ได้กลับคำให้การโดยอ้างว่าคำให้การเดิมไม่มีความจริง อ้างว่าถูกบังคับข่มขู่จึงถือว่าพยานรายนี้ได้ให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จไว้จึงทำให้การกันบุคคลไว้เป็นพยานสิ้นสุดลง
พล.ต.ท.คำรบ เผยต่อว่า สำหรับพฤติการณ์ของพยานรายนี้ที่กลับคำให้การ ถือว่าเข้าข่ายความผิดในการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานอื่น ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นเสียหายซึ่งเป็นความผิดในกฏหมายจึงขอให้ดีเอสไอ พิจารณาดำเนินการในฐานความผิดในทุกบทกฏหมาย นอกจากนี้ พยานรายนี้กล่าวอ้างว่าถูกข่มขู่ในการเป็นพยานในครั้งแรกนั้น จึงถือว่าเป็นคำกล่าวอ้างลอยๆ เพราะหากมีการข่มขู่หรือหลอกลวงจริง ผู้กลับคำรายนี้จะต้องแจ้งชื่อหรือรายละเอียดเกี่ยวกับตัวบุคคลหรือรายละเอียดพฤติการณ์แห่งการถูกข่มขู่นี้ได้อย่างชัดเจนและจะต้องมีการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อผู้ข่มขู่ ในข้อหาข่มขืนใจหรือกระทำการใดให้ผู้อื่นกระทำการหรือไม่กระทำการหรือจำยอมกระทำต่อสิ่งใดหรือไม่กระทำการนั้นอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 โดยจะต้องมีการร้องทุกข์ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ข่มขู่รายนี้ให้ถึงที่สุด
พล.ต.ท.คำรบ ระบุว่า คณะสมาชิกวุฒิสภาสำรองซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับเรื่องคดีการทุจริตในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา 2567 ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกันกับคดีอั้งยี่และฟอกเงิน ซึ่งเป็นคดีพิเศษที่ 24/2568 นี้ และยังมีส่วนเป็นผู้กล่าวหาและเป็นพยานในคดีพิเศษที่ 24/2568 ด้วยอีกส่วนหนึ่ง จึงขอเรียกร้องมายัง อธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้ดำเนินการกับผู้ที่มีการกลับคำให้การต่างๆ ในทุกรายในคดี อั้งยี่และฟอกเงินในคดีพิเศษที่ 24/2568 โดยขอให้ดำเนินการอย่างเคร่งครัดและจริงจัง ดังนี้
1.ขอให้มีการตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับคำให้การขอผู้ที่มีการกลับคำให้การในทุกรายโดยให้ชั่งน้ำหนักพยานความให้ความน่าเชื่อถือจากคำให้การในครั้งแรกที่มีรายละเอียดที่ชัดเจนสอดคล้องกับพยานหลักฐานอื่นๆที่มีมากและมีความน่าเชื่อถือมากกว่าคำแก้ตัวเพียงอ้างว่าถูกข่มขู่ในการให้การในครั้งแรก
2.ขอให้เพิกถอนสิทธิในการถูกกันตัวเป็นพยานของบุคคลที่กลับคำให้การและดำเนินการต่อพฤติการณ์และการกระทำผิดของบุคคลนั้นนั้นตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อย่างเคร่งครัด
3.ขอให้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับผู้กลับคำให้การในทุกรายในข้อหาแจ้งความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานอันอาจทำให้ผู้อื่นเสียหาย อย่างจริงจังในทุกรายและทุกบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
4.ให้สอบสวนถึงรายละเอียดของผู้ที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้ข่มขู่หรือบังคับหลอกลวงในการให้การก่อนหน้านี้ตามที่ผู้กลับคำให้การกล่าวอ้างในทุกราย เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลนั้นอย่างถึงที่สุดในข้อหาข่มขืนใจหรือกระทำการใดให้ผู้อื่นกระทำการหรือไม่กระทำการอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.309
พล.ต.ท.คำรบ กล่าวเสริมว่า สำหรับพยานรายนี้ที่กลับคำให้การ ถือว่าเข้าข่ายในความผิดตามมาตรา 78 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา 2561 ที่ได้บัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครใดกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ โดยหากการกระทำนั้นเป็นการแจ้งหรือให้ถ้อยคำต่อกรรมการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ 7 ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 140,000 บาทถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งมีกำหนด 20 ปี
ด้านความคืบหน้าของคดีนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เรียก 8 ผู้ต้องหาให้มารับทราบข้อหาคดี "อั้งยี่-ฟอกเงิน" สว. ในสัปดาห์นี้ โดยมีรายงานว่า รายชื่อทั้ง 8 คน ที่ถูกคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ออกหมายเรียกให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาฐานฟอกเงิน เป็นกลุ่มแรก จากกรณีมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยง และมีความสัมพันธ์บุคคลกับขบวนการจัดฮั้ว สว.67 โดยเฉพาะในห้วงเวลาก่อนเลือก สว. ระหว่างเลือก สว. และภายหลังการเลือก สว. ประกอบด้วย เครือข่ายพรรคการเมืองใหญ่ และสมาชิกวุฒิสภาตัวจริง คือ 1.นางสาว น. (เครือข่ายของพรรคการเมืองใหญ่) 2.นาย ส. (นักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดนครศรีธรรมราช) 3.นาย ว. (ผู้บริหาร) 4.นาง ผ. 5.นางสาว อ. (สมาชิกวุฒิสภาตัวจริง จังหวัดทางภาคใต้) 6.นาย ว. (อดีตผู้สมัคร สส. พรรคการเมืองใหญ่) 7.นางสาว ม. (สมาชิกวุฒิสภาตัวจริง จังหวัดทางภาคตะวันตก) และ 8.นาย ล. (นายกสมาคมแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคใต้) โดยกลุ่ม 8 คนนี้ส่วนใหญ่ เป็นรายชื่อที่เคยถูกแจ้งให้รับทราบข้อกล่าวหาในสำนวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนและสืบสวน ชุดที่ 26 ของ กกต.ที่มีดีเอสไอร่วมด้วย จำนวน 229 รายมาก่อน


