MGR Online - "แอมเนสตี้ฯ ประเทศไทย" พาผู้บาดเจ็บถูกกระสุนยางยิงจนตาบอด เหตุชุมนุม “ราษฎรหยุด APEC 2022” ร้อง ยธ. ขอเยียวยาช่วยเหลือ หลัง 3 ปี ไม่มีใครรับผิดชอบ
วันนี้ (18 พ.ย.) เวลา 10.00 น. ณ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย นำโดย น.ส.เพชรรัตน์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พร้อมด้วย นายเฝาซี ล่าเต๊ะ เจ้าหน้าที่รณรงค์เชิงนโยบาย แอมเนสตี้ ประเทศไทย และ นายพายุ บุญโสภณ นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ผู้บาดเจ็บจากกระสุนยาง ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือและส่งข้อเรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์สลายการชุมนุมอย่างอิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเยียวยาผู้เสียหายตามหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยมี น.ส.ดวงดาว เกียรติพิศาลสกุล รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นผู้รับเรื่อง
นายพายุ เปิดเผยว่า กรณีมายื่นเรื่องคำร้องขอรับการช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรมในวันนี้ เป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 พ.ย.65 ซึ่งวันนั้นเป็นกรณีที่กลุ่มราษฎรหยุด APEC 2022 ได้รวมตัวชุมนุมประท้วงโดยสงบเพื่อสะท้อนข้อกังวลต่อผลกระทบจากนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) มีเป้าหมายแค่ต้องการสื่อสารกับผู้นำในประเทศถึงผลกระทบนโยบายที่เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนทำลายสิ่งแวดล้อมทรัพยากรในประเทศไทย โดยตนถูกกระสุนยางยิงเบ้าตาขวา สูญเสียดวงตาถาวร บริเวณถนนดินสอ ซึ่งตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบ กระบวนการสอบสวนล่าช้า ไม่มีความคืบหน้า แต่กลับมีผู้ร่วมชุมนุมถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมอย่างสงบอีกด้วย
ด้าน น.ส.เพชรรัตน์ เผยว่า ในกรณีของนายพายุ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวเชิงโครงสร้างที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องเร่งแก้ไขอย่างเป็นระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ต้องรับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในสังกัด และการใช้กำลังควบคุมฝูงชนที่เกินความจำเป็น ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย มีหน้าที่ตามกฎหมายในการพิจารณาว่าเหตุการณ์นี้เข้าข่ายการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีหรือไม่ รวมถึงต้องรับรองสถานะผู้เสียหายและกำหนดมาตรการเยียวยาที่เหมาะสม
ส่วนทาง นายเฝาซี กล่าวเสริมว่า กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 พ.ย.65 มีทั้งหมด 30 ราย และมีเกือบ 20 รายที่ได้ร่วมยื่นคำร้องกับศาลปกครองพร้อมนายพายุ บุญโสภณ
ขณะที่ น.ส.ดวงดาว เกียรติพิศาลสกุล รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เผยว่า กรมคุ้มครองสิทธิฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด จะนำเรื่องเข้าสู่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองข้อเท็จจริง เพื่อพิจารณาแสวงหาข้อเท็จจริงก่อนเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ ซึ่งในเรื่องของการฝึกอบรมการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ทางกรมฯ ได้ฝึกอบรมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐว่าตำรวจต้องควบคุมสถานการณ์ด้วยความเรียบร้อย และตนให้ความมั่นใจว่าเราจะดำเนินการทุกอย่างตามกฎระเบียบขั้นตอนที่มี
"ทั้งนี้ เนื่องด้วยเป็นกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พ.ย.65 โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 จะมีการบังคับใช้ จึงอาจเข้าข่ายได้รับการพิจารณาผ่าน พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559) แทน ดังนั้น ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ จะเป็นความรับผิดชอบดำเนินการของอนุกรรมการพิจารณาฯ ซึ่งจะต้องใช้เอกสารหลักฐานต่างๆ จากผู้ร้องไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ซึ่งกรมฯ สามารถรับเรื่องของผู้เสียหายได้ทั้งหมด"


