xs
xsm
sm
md
lg

ตร.แจง 4 ข้อ ยันไม่เลือกปฏิบัติกรณี “บิ๊กโจ๊ก–บิ๊กต่อ” ชี้ข้อกฎหมาย พยานหลักฐานและข้อเท็จจริงต่างกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงไม่เลือกปฏิบัติ กรณี “บิ๊กโจ๊ก–บิ๊กต่อ” ย้ำดำเนินการตามกฎหมายและข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน ยืนยันทุกขั้นตอนโปร่งใส เป็นไปตามอำนาจตาม พ.ร.บ.ตำรวจฯ และหลักเกณฑ์ทางวินัยอย่างเคร่งครัด

วันนี้ (11 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) สำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.) ได้ชี้แจงถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร. ได้กล่าวกับสื่อมวลชนหลายสำนัก ประเด็นเรื่องการเลือกปฏิบัติในการดำเนินการทางวินัยของในกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร.มีหลายประเด็นทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้

1.ความแตกต่างด้านผู้มีอำนาจตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 105 กำหนดผู้มีอำนาจสั่งการทางวินัยไว้แตกต่างกันตามตำแหน่งของผู้ถูกดำเนินการ กรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้มีอำนาจตามมาตรา 105 (2) ส่วนกรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจตามมาตรา 105(1) การที่ผู้มีอำนาจต่างกันจึงเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด มิใช่การเลือกปฏิบัติ

2. ความแตกต่างด้านข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน กรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีพยานหลักฐานชัดเจนถึงขั้นมีคดีอาญาที่สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน คดีที่ 391/2566 ประกอบกับมีกรณีที่ศาลอาญาได้ออกหมายจับที่ 1396/2567 ลงวันที่ 2 เมษายน 2567 ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่ชัดเจนและรุนแรง จึงถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 117/2567 และถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งที่ 118/2567 แต่ขณะที่กรณีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 378/2568 ซึ่งเป็นขั้นตอนเบื้องต้นเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงก่อนพิจารณาว่าจะดำเนินการทางวินัยหรือไม่

3. หลักเกณฑ์การสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 131 และ ตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 8 การสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนจะกระทำได้ต้องประกอบด้วยสองเงื่อนไขคือ 1) ต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือต้องหาคดีอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา และ 2) ผู้มีอำนาจเห็นว่าการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้าเงื่อนไขทั้งสองประการ คือมีการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและมีคดีอาญา ประกอบกับคดีมีความซับซ้อนจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว จึงถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ส่วนกรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยังไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าวเนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ยังไม่ถึงขั้นตั้งกรรมการสอบสวนวินัย

4. ผลการดำเนินการที่แตกต่างกันตามข้อเท็จจริง โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 149/2568 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2568 มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ส่วน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์พ้นจากราชการเนื่องจากเกษียณอายุราชการตามปกติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567

โดยสรุป กรณีดังกล่าวเป็นการดำเนินการทางวินัยทั้งสองกรณีเป็นไปตามหลักกฎหมายและข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน โดยผู้มีอำนาจตามกฎหมายได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาจากพยานหลักฐานและความร้ายแรงของการกระทำในแต่ละกรณี การที่มีการดำเนินการแตกต่างกันจึงเป็นผลจากการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด มิใช่การเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด ทั้งนี้ หากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมในกรณีใด ผู้มีอำนาจตามกฎหมายย่อมจักต้องพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปตามควรแก่กรณี
กำลังโหลดความคิดเห็น