xs
xsm
sm
md
lg

เปิดละเอียดคำพิพากษาจำคุก 3 ปี "วิฑูรย์ นามบุตร" เรียกเงินผู้รับเหมา 30 ล้าน ได้ประกันตัวสู้คดีชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


นายวิฑูรย์ นามบุตร
ศาลฎีกานักการเมืองจำคุก 3 ปี "วิฑูรย์ นามบุตร"อดีตสส. เรียกเงิน 30 ล้าน แลกโครงการรับเหมา ก่อนได้ประกันตัวสู้คดีระหว่างอุทธรณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 3 ปี นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นจำเลยที่ 1 พร้อมพวกอีก 4 ราย

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ถึง 2557 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานของรัฐ และสมาชิสภานิติบัญญัติของรัฐนิติบัญญัติแห่งรัฐตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการตรากฎหมายการควบคุมการบริหารงานราชการแผ่นดินของ รัฐบาล พิจารณาให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2557 และในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบโครงการ แผนงาน และงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานขอรับจัดสรร รวมทั้งพิจารณาแปรญัตติเพื่อปรับลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายที่แต่ละหน่วยงานเสนอขอความเห็นชอบ ได้เรียกเงินจากนางสุขสมรวย วันทนียกุล ผู้เสียหาย 30,000,000 บาท สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยที่ 1 ในสถานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ถึง พ.ศ.2557 จะมีโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของหน่วยงานของรัฐมาลงที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทางภาคใต้ และจำเลยที่ 1 มีโควตาของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลย ที่ 1 ได้รับงานก่อสร้างในโครงการดังกล่าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก โดยจำเลยที่ 1 จะแบ่งงานโครงการก่อสร้างและให้ผู้เสียหายร่วมดำเนินการในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่จำเลยที่ 1 ได้รับโควตาจากทางราชการดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 โดยเป็นผู้รับเงินจากผู้เสียหายแทนจำเลยที่ 1 หลายครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงเดือนพฤษภาคม 2557 รวมเป็นเงิน 29,600,000 บาท อันเป็นการกระทำการการใด ๆ โดยทุจริตในลักษณะใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเหตุเกิดที่ตำบลเขื่องใน อำเภอเขื่องใน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีตำบลบุ่ง อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 , 149 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2552 มาตรา 123/1พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 172, 192

จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธสู้คดี

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานตามทางไต่สวนและข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันในชั้นตรวจพยานหลักฐาน ประกอบสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 จำเลยที่ 1 ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณและในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 และได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำบี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่ใช้บังคับขณะเกิดเหตุ โดยสามารถตรวจสอบโครงการ แผนงาน และงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานขอรับจัดสรร และพิจารณาแปรญัตติเพื่อปรับลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายที่แต่ละหน่วยงานเสนอขอความเห็นชอบได้จำเลยที่ 1 มีสถานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 และเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐและเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา 

ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2556 จำเลยที่ 1 ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำเลยที่ 5 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นญาติจำเลย ที่ 1 โดยนางระเบียบ เกลียวทอง ป้าจำเลยที่ 2 สมรสกับนายอุทัย นามบุตร พี่ชายจำเลยที่ 1 และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเชื่องในก่อสร้าง ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2554 จนถึงปัจจุบัน ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.8 หน้า 0707 ถึง 0710 จำเลยที่ 3 เป็นบุตรของจำเลยที่ 5 กับนายสมเดช แสวงสาย จำเลยที่ 4 เป็นสามีของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 5 เป็นน้องสาวของจำเลยที่ 1 นางสุขสมรวย วันทนียกุลผู้เสียหาย เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับนายวิวัฒน์ วันทนียกุล และนายวิทวัฒน์ วันทนียกุล เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556 นางสาวกัลยรัตน์ ชุมนุม ฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย ของจำเลยที่ 3 จำนวน 1,500,000 บาท และฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารเดียวกันกับจำเลยที่ 4 อีกจำนวน 1,500,000 บาท และในวันเดียวกันจำเลยที่ 3 และที่ 4 โอนเงินผ่านตู้เบิกถอนเงินสดอัตโนมัติเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย ของจำเลยที่ 5 จำนวน 50,000 บาท และ 999,999 บาท ตามลำดับ จำเลยที่ 3 ยังโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝาก ไม่แจ้งชื่อ-สกุล จำนวน 100,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝาก ไม่แจ้งชื่อ-สกุล จำนวน 100,000 บาท และเข้าบัญชีเงินฝาก ไม่แจ้งชื่อ-สกุล จำนวน 100,000บาท ต่อมาวันที่ 19 กันยายน 2556จำเลยที่ 3 และที่ โอนเงินผ่านตู้เบิกถอนเงินสด เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ของจำเลยที่ 5 จำนวน 60,000 บาท และ 5,000 บาท ตามลำดับ ตามใบคำขอโอนเงิน รายละเอียดการทำรายการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และรายการเดินบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เอกสารหมาย จ.54 ถึง จ.59 หน้า 0849 ถึงหน้า 0854 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2557นายวิทวัฒน์โอนเงินผ่าธนาคารกสิกรไทย จำกัด เข้าบัญชีเงินฝาก ธนาคารกรุงไทย ของนางสาวประภาศรี กุระโท จำนวน 1,000,850 บาท และวันที่ 10 เมษายน 2557 นางสาวประภาศรี ให้นายสุริยา ถอนเงินสดออกจากบัญชีเงินฝากตามรายการเดินบัญชี ต่อมาวันที่ 3 และ 5 พฤษภาคม 2560 ผู้เสียหายมีหนังสือถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เรื่องขอร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดี สมาชิกสภานิติบัญญัติ อ้างพฤติการณ์กระทำความผิดตามฟ้องของจำเลยที่ 1 

ต่อมารองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีหนังสือลงวันที่ 5 มิถุนายน 2560 ถึงเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามเอกสารหมาย จ.155 ต่อมาวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ประธานกรรมการไต่สวนมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งห้าไปรับทราบข้อกล่าวหา วันที่ 27 ธันวาคม 2564 ประธานกรรมการไต่สวนมีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยทั้งห้า ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.133 และ จ.134จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 มีหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ผู้เสียหายมีหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ขอถอนคำร้องทุกข์กล่าวโทษที่เคยยื่นไว้เมื่อ วันที่ 3และวันที่ 5 พฤษภาคม 2560 ดังกล่าวเนื่องจากจำเลยที่ 1 เจรจาขอชดใช้ค่าเสียหายและได้รับการบรรเทาผลร้ายจนเป็นที่พอใจแล้ว ตามหนังสือขอถอนคำร้องทุกข์กล่าวโทษ หนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง และคำกล่าวหาเอกสารหมาย จ.152 ถึง จ.154 คณะกรรมการไต่สวนมีมติว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเอกสารหมาย จ.155 

ต่อมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีมติเสียงข้างมากว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดย ทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ซึ่งปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ตามคำวินิจฉัยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่77/2565 วันที่ 12 กรกฎาคม 2565

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่

สำหรับความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 นั้น เห็นว่า บุคคลที่จะมีความผิดตามมาตราดังกล่าว นอกจากจะต้องเป็นบุคคลตามตำแหน่งที่ระบุไว้ และมีการกระทำเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง
หรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว ยังต้องมีเจตนาพิเศษเป็นองค์ประกอบในการกระทำความผิดด้วย คือ กระทำไปเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ แต่ตามคำฟ้องได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหาย โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 มีโควตางานโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภค และห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 ได้รับงานโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐจำนวนมาก หากผู้เสียหายต้องการร่วม ดำเนินการงานโครงการก่อสร้างดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวน30,000,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหายเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ของตน การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ครบองค์ประกอบความผิดของมาตราดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกสภานติบัญญัติแห่งรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือโดยทุจริต ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 นั้น

องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า โจทก์มีนางสุขสมรวย วันทนียกุล ผู้เสียหาย เป็นพยานเบิกความว่า นายสมเดช แสวงสาย น้องเขยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 และเรียกรับเงินโดยอ้างชื่อจำเลยที่ 1

ผู้เสียหายให้ถ้อยคำต่อ ป.ป.ช. ว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 จำเลยที่ 1 ในฐานะ ส.ส. จังหวัดอุบลราชธานี และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี 2557 แจ้งว่าสามารถวิ่งเต้นผลักดันงบประมาณโครงการก่อสร้างของรัฐไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ได้ โดยห้างหุ้นส่วนของจำเลยมีโควตาโครงการจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจำนวนมาก จึงชักชวนผู้เสียหายให้ร่วมดำเนินการ และเรียกเงิน 30,000,000 บาท

ผู้เสียหายได้จ่ายเงินจริงให้จำเลยที่ 1 หลายครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงพฤษภาคม 2557 รวม 9,600,000 บาท ผู้เสียหายให้ถ้อยคำครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 (ภายหลังยื่นหนังสือกล่าวหาเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ราว 2 เดือน) ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เรียกรับเงินเอง และให้จ่ายตามวิธีที่จำเลยกำหนด รวม 20 ครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานการจ่ายเงิน

ต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน 2561 ผู้เสียหายให้ถ้อยคำอีกครั้ง ยืนยันข้อเท็จจริงเดิม โดยไม่พบว่าผู้เสียหายมีเหตุโกรธเคืองหรือเจตนาปรักปรำจำเลย เพราะเคยรู้จักและช่วยเหลือจำเลยทางการเมืองมาก่อน ศาลจึงเชื่อว่าผู้เสียหายให้ถ้อยคำตามความจริง

ส่วนที่ผู้เสียหายภายหลังอ้างในชั้นศาลว่านายสมเดชเป็นผู้เรียกรับเงินแทนจำเลยที่ 1 นั้น ศาลเห็นว่าเป็นการกล่าวภายหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงกันได้ และผู้เสียหายทำหนังสือถอนคำร้องทุกข์ไม่ติดใจดำเนินคดีแล้ว

ทั้งที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายรู้จักนายสมเดชเป็นเวลากว่า 10 ปี หากนายสมเดชเป็นผู้เรียกรับเงินจากผู้เสียหายจริง ผู้เสียหายก็น่าจะให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวนตั้งแต่ในคราวแรกแล้ว เนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่ผู้เสียหายย่อมรู้มาก่อนที่จะให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวน มิใช่เพิ่งมาเบิกความกล่าวอ้างในชั้นไต่สวนของศาลเช่นนี้

คำเบิกความของผู้เสียหายยังมีลักษณะเป็นการบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อให้สมกับข้ออ้างตามคำให้การของจำเลยที่ 1 จึงเป็นพิรุธ ปราศจากความน่าเชื่อถือ น่าเชื่อว่าการที่ผู้เสียหายเบิกความกลับถ้อยคำเดิมของตนที่เคยให้ไว้ต่อพนักงานไต่สวนนั้น เป็นไปเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ให้ไม่ต้องรับโทษ ดังนี้ ถ้อยคำเดิมของผู้เสียหายที่เคยให้ไว้ต่อพนักงานไต่สวน จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความชั้นศาล พยานหลักฐานโจทก์จากการไต่สวนจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง

ส่วนที่จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย แต่เป็นนายสมเดช เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้าง ที่เรียกรับเงินจากผู้เสียหายและแจ้งผู้เสียหายให้โอนเงินแก่นายสมเดชนั้น ก็เป็นข้อต่อสู้ที่เลื่อนลอย ปราศจากพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุน ทั้งเป็นข้อเท็จจริงที่ง่ายต่อการกล่าวอ้างแต่ยากแก่การรับฟัง เนื่องจากนายสมเดชถึงแก่ความตายไปแล้ว ไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงใดให้บุคคลอื่นรับรู้ได้

และข้ออ้างดังกล่าวยังขัดต่อเหตุผล เนื่องจากลำพังนายสมเดชไม่น่าจะอยู่ในวิสัยที่จะอ้างชื่อจำเลยที่ 1 เองจนทำให้ผู้เสียหายเชื่อถือถึงขั้นยอมโอนเงินให้เป็นจำนวนสูงมากเช่นนี้ โดยที่จำเลยที่ 1 ไม่เคยติดต่อกับผู้เสียหาย ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหาย 30,000,000 บาท โดยอ้างต่อผู้เสียหายว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 สามารถวิ่งเต้นผลักดันจัดสรรงบประมาณโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ แล้วจำเลยที่ 1 จะแบ่งงานโครงการก่อสร้างดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหาย

เป็นเหตุให้ผู้เสียหายจ่ายเงินเพื่อร่วมลงทุนและเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามวิธีที่จำเลยที่ 1 แจ้งหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงเดือนพฤษภาคม 2557 รวมเป็นเงิน 29,600,000 บาท

ดังนี้ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ และเรื่องสำคัญต่าง ๆ ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบโครงการ แผนงาน และงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานรัฐขอรับจัดสรร รวมทั้งพิจารณาแปรญัตติเพื่อปรับลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายที่แต่ละหน่วยงานเสนอขอความเห็นชอบได้

การที่จำเลยที่ 1 อาศัยโอกาสจากการที่ตนมีอำนาจหน้าที่ไปเรียกรับเงินแล้วเสนอผลตอบแทนให้แก่ผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 หลายครั้ง รวมเป็นเงิน 29,600,000 บาท เป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม อันส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของจำเลยที่ 1 โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และเป็นการกระทำโดยทุจริตแล้ว

การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า สำหรับความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย

ส่วนความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ข้อเท็จจริงได้ความตามทางไต่สวนว่า หลังจากจำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหาย 30,000,000 บาท แล้ว ผู้เสียหายจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 หลายครั้ง ตามวิธีการที่จำเลยที่ 1 แจ้ง ซึ่งการจ่ายเงินในบางครั้งจะมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้รับเงินแทนจำเลยที่ 1

โดยเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556 ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นสามีภริยากัน รวมเป็นเงิน 3,000,000 บาท จากนั้นจำเลยที่ 3 และที่ 4 โอนเงินดังกล่าวต่อให้แก่จำเลยที่ 5 ตามที่จำเลยที่ 5 สั่งการ รวมเป็นเงิน 2,599,999 บาท และเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2557 ผู้เสียหายให้นายวิทวัฒน์ วันทนียกุล โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาวประภาศรี กุระโท เจ้าหน้าที่การตลาด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้าง จำนวน 1,000,850 บาท

และวันที่ 10 เมษายน 2557 นางสาวประภาศรีมอบฉันทะให้นายสุริยา พูลจิต ถอนเงินสดรวม 1,590,457 บาท ออกจากบัญชีเงินฝาก โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขอเลขที่บัญชีเงินฝากจากนางสาวประภาศรีเพื่อให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าว แล้วให้นางสาวประภาศรีถอนเงินไปมอบให้แก่จำเลยที่ 2

องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จะมีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติของจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการใช้บัญชีเงินฝากรับเงินจากผู้เสียหายแทนจำเลยที่ 1 ในแต่ละครั้งนั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่เรียกรับเงินจากผู้เสียหายมากน้อยเพียงใด

อีกทั้งผู้เสียหายเองก็ให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวนว่า ผู้เสียหายจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ตามวิธีที่จำเลยที่ 1 แจ้งทุกครั้ง โดยไม่เคยติดต่อกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เลย ส่วนที่ผู้เสียหายให้ถ้อยคำในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเบิกความว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2556 จำเลยที่ 3 ไปรับเงินจากผู้เสียหายที่บ้าน จำนวน 2,000,000 บาท โดยมีนายอภินันท์ อารยะสวัสดิ์ หลานของผู้เสียหายอยู่ด้วยนั้น

ขัดกับคำเบิกความของนายอภินันท์ที่ว่า ประมาณปี 2556–2557 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา ผู้เสียหายแจ้งว่าจำเลยที่ 3 จะมารับเงินเพื่อนำไปให้จำเลยที่ 1 จำนวน 2,000,000 บาท แต่จำเลยที่ 3 ยังไม่มา จนบ่ายผู้เสียหายกลับมา พยานจึงคืนซองเงิน จากนั้นมีชาย 1 คนและหญิง 1 คนมาที่บ้าน ผู้เสียหายยืนยันว่าเป็นจำเลยที่ 3 พยานจึงมอบเงินให้ ซึ่งแตกต่างจากคำให้การต่อ ป.ป.ช.

ดังนี้ คำให้การของผู้เสียหายและนายอภินันท์มีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าผู้เสียหายส่งมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 3 ส่วนเงินที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โอนให้แก่จำเลยที่ 5 ก็เป็นเงินเพียงบางส่วนที่ผู้เสียหายโอนเข้าบัญชีของจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเงินส่วนที่เหลือถูกนำไปดำเนินการอย่างไร

นอกจากนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการรับเงินแทนจำเลยที่ 1 หรือมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำความผิด จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

อนึ่ง ภายหลังการกระทำความผิด มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ใช้บังคับ โดยมาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2542 แต่ มาตรา 172 ยังคงบัญญัติให้การกระทำตามฟ้องเป็นความผิดและมีโทษเท่าเดิม

จึงต้องลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคหนึ่ง

พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากให้ลงโทษจำคุก 3 ปี
ข้อหาอื่นให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5

ทั้งนี้ นายวิฑูรย์ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเพื่อสู้คดีในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ และศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว


กำลังโหลดความคิดเห็น