xs
xsm
sm
md
lg

ดีเอสไอสอบผู้ถือหุ้น "บ.ปริ้นซ์ อินเตอร์ฯ" รับทำธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ส่วนโยง "ปรินซ์ กรุ๊ป" เร่งตรวจสอบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR Online - "ดีเอสไอ" แจง ยังไม่พบความเชื่อมโยง "บ.ปริ้นซ์ อินเตอร์ฯ" กับเครือข่าย "บ.ปรินซ์ กรุ๊ป - เฉิน จื้อ" เตรียมสอบปากคำพยานเพิ่มเติม

วันนี้ (28 ต.ค.) รายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเข้าสอบพยาน บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ มีการรวบรวมพยานเอกสารหลายรายการตามที่ผู้ถือหุ้นประสงค์มอบให้ดีเอสไอไปตรวจสอบ ว่า จากผลการสอบปากคำ 2 พยานผู้ถือหุ้นชาวไทย ยอมรับว่ามีความประสงค์อยากจะไปทำธุรกิจร่วมกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) จึงได้ตั้งชื่อบริษัทให้มีความพ้องกัน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำธุรกิจร่วมกันได้ เนื่องจากติดเงื่อนไขการเจรจาที่ไม่ลงตัว ซึ่งในการไปเจรจาเรื่องการทำธุรกิจนั้นไม่ได้พูดคุยโดยตรงกับนายเฉิน จื้อ (ประธาน) แต่เป็นการพูดคุยกับระดับผู้บริหารที่เป็นผู้จัดการหรือผู้อำนวยการแทน เพราะธุรกิจของบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ค่อนข้างครอบคลุมหลายด้าน

รายงานจากดีเอสไอ เผยว่า ส่วนคนที่เป็นผู้แนะนำธุรกิจของ บริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ให้ผู้ถือหุ้นชาวไทยได้รู้จักไปลองร่วมธุรกิจด้วย ก็คือ นายหวัง ยู่ ถัง ชาวไต้หวัน ซึ่งปัจจุบันก็เป็นกรรมการของบริษัทปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด แต่ก่อนหน้านี้ นายหวัง ยู่ ถัง เคยเป็นกรรมการในบริษัท ปรินซ์ เรียล เอทสเตท อินเวสเมนท์ หรือ บริษัท ปริ้นซ์ ไต้หวัน มาก่อน ต่อมา ผู้ถือหุ้นชาวไทยได้เดินทางไปดูโมเดลธุรกิจของ บริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ประเทศกัมพูชา แล้วก็พบว่าธุรกิจมีความครอบคลุมทั้งห้างสรรพสินค้า ธนาคาร สนามบิน ผู้ถือหุ้นจึงคิดว่าโมเดลที่จะนำเสนอกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป น่าจะมีทางเป็นไปได้ โดยเดินทางไปหลายครั้ง เพราะคิดว่าหากได้ร่วมธุรกิจก็จะต่อยอดไปได้อีกหลายแขนง แต่ทุกครั้งที่ไปนำเสนอแผนธุรกิจ ทางบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป จะมีเงื่อนไขตีกลับมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นประเภทของสินค้า อย่างสินค้า OTOP หรือคำแนะนำต่างๆ ที่มีแต่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการร่วมธุรกิจได้ มองว่าถ้าทำตามเงื่อนไขที่ถูกเสนอมาทั้งหมดก็จะขาดทุน อาทิ การเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นที่สูง ค่าวางสินค้า เกรดสินค้า เป็นต้น

รายงานจากดีเอสไอ เผยอีกว่า เมื่อบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มองว่าหากเป็นเรื่องของการนำสินค้าไทยไปขายก็จะขาดทุน และติดเงื่อนไขต่างๆ จึงเปลี่ยนโมเดลธุรกิจมาคิดเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แทน เพราะอยากร่วมธุรกิจกับ บริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ซึ่งบทบาทการเป็นนายหน้า เอาห้องมาขายให้ ขายได้หรือขายไม่ได้ เงินที่ได้ก็คือค่านายหน้าเท่านั้น แต่ก็ไปต่อไม่ได้จึงทำให้กลับมาลุยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยแทน โดยการเป็นนายหน้าเหมือนเดิมด้วยการหาห้องคอนโดมิเนียมหรู หรือห้องชุดต่างๆ ให้กับลูกค้าผู้ที่สนใจซื้อหรือเช่าไปทำธุรกิจ

"ส่วน บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มีตึกหรือเป็นเจ้าของตึกในประเทศกัมพูชานั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบว่ามีความเกี่ยวข้องเลย มีเพียงแค่การเคยเป็นบทบาทนายหน้าหาคนไปซื้อคอนโดฯ ของบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป เท่านั้น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นนายหน้า"


รายงานจากดีเอสไอ กล่าวต่อว่า กระบวนการหลังจากนี้ ทางพนักงานสืบสวนจะดำเนินการสอบปากคำพยานบุคคลของบริษัทเพิ่มเติม อาทิ พนักงานฝ่ายบัญชี ผู้สอบบัญชี หรือคนที่เคยทำธุรกิจร่วมกับ บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นต้น ซึ่งจะนำมาตรวจสอบคู่ขนานกับเอกสารที่ได้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ อย่างไร รวมถึงกรณี นายหวัง ยู่ ถัง กรรมการชาวไต้หวัน ปัจจุบันไม่ได้พักอาศัยอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ก็ได้แจ้งความประสงค์ว่ายินดีจะเข้าให้ปากคำพยานที่เป็นประโยชน์กับดีเอสไอ

ทั้งนี้ ดีเอสไอจะตรวจสอบทั้งเรื่องเส้นทางการเงิน ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล และข้อมูลบริษัทฯ ที่เคยได้ไปยื่นให้กับหน่วยงานรัฐต่างๆ ก็ต้องนำมาดูว่ามีความสอดคล้องกันมากน้อยแค่ไหน เพราะแม้เบื้องต้นจะยังไม่พบว่า บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มีความเกี่ยวข้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป แต่การตั้งบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ขึ้นมานั้นมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงหรือไม่ มีการนำชื่อไปใช้ในธุรกิจประเภทอื่นหรือไม่ มีการใช้เป็นฉากบังหน้าหรือไม่ หรือมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงินที่ผิดปกติหรือไม่ ถ้าหากดำเนินการตรวจสอบแล้วไม่พบความผิดปกติ หรือไม่พบความเกี่ยวข้องใดเลย และเป็นการยืนยันในข้อเท็จจริงที่ว่าบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพียงต้องการขยายโอกาสทางธุรกิจจึงไปตั้งชื่อให้สอดคล้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป เท่านั้น ข้อสงสัยต่างๆ ก็เป็นอันยุติได้

อย่างไรก็ตาม หากเป็นการตั้งธุรกิจขึ้นมาเพื่อประสงค์กระทำผิดจริง ก็ต้องมีหลักฐานปรากฏอยู่แล้วว่าเอาชื่อไปทำอย่างอื่นด้วย เช่น คำให้การบอกว่าบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ขาดทุนมาก แต่หากไปตรวจสอบแล้วพบว่ามีบัญชีเงินหมุนเวียนเป็นหลักร้อยล้านบาท แบบนี้ก็จะไม่สอดคล้อง แต่ก็ต้องรอผลรายงานการทำธุรกรรมย้อนหลังจากทางธนาคารให้เรียบร้อยก่อน หากไม่พบเส้นทางการเงินจากความผิดปกติใดๆ เชื่อมโยงมาเลย มันก็จะตัดพฤติการณ์การฟอกเงินออกไปได้ รวมไปถึงฐานานุรูปและศักยภาพของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ก็เป็นผู้ถือหุ้นตัวจริง ไม่ได้นำใครที่ไม่เกี่ยวข้องมารับตำแหน่ง หรือแค่นำชื่อพนักงานมาใช้แปะวางในโครงสร้างบริษัท ตรงนี้ก็จะตัดพฤติการณ์ในเรื่องของนอมินีได้ ทุกอย่างดีเอสไอจึงต้องตรวจสอบด้วยความรอบคอบและให้ความเป็นธรรม
กำลังโหลดความคิดเห็น