กระทรวงดีอี-สตช. ยกระดับปราบสแกมเมอร์ เน้นความร่วมมือระหว่างประเทศ แลกเปลี่ยนข้อมูลอาชญากรรมทางไซเบอร์ทุกส่วน เผยฐานปฏิบัติการไทยไม่ใหญ่เท่าเพื่อนบ้าน เตรียมหารือจำกัดลงทะเบียนซิมไม่เกิน 5 เบอร์ต่อคน
วันนี้ ( 27 ต.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงสถานการณ์การแก้ปัญหาอาชญากรไซเบอร์ แก๊งสแกมเมอร์ ว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ (United Nations Convention against Cybercrime) ซึ่งเป็นความร่วมมือของ 68 ประเทศ และสหภาพยุโรป (EU) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและสร้างมาตรการในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ สิ่งสำคัญที่สุดคือการร่วมมือกันระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ทุกส่วน
นายไชยชนก ขยายความเพิ่มเติมว่า ตัวอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ที่ขายในตลาดไม่ใช่ความผิด แต่การสั่งซื้อนำเข้าซิมบ็อกซ์ที่ประกอบการแล้วถือเป็นการผิดกฎหมาย ทั้งนี้ บางหน่วยงาน เช่น คอลเซ็นเตอร์ของธนาคารที่มีใบอนุญาตอย่างชัดเจนมีความจำเป็นต้องใช้ซิมบ็อกซ์ ตนจึงได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงฯ เข้าประชุมในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาว่า การนำเข้าอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์แบบแยกชิ้นส่วนจะมีกฎหมายใดควบคุมได้หรือไม่ เนื่องจากทุกการสั่งซื้อจะมีระบบติดตาม (tracking) นโยบายส่วนหนึ่งที่จะทำให้ระบบสแกมเมอร์ไปต่อไม่ได้ คือนโยบายจำกัดปริมาณซิมต่อบุคคล และการตรวจสอบการลงทะเบียนอย่างเคร่งครัดที่ต้องมีจำกัดไม่เกิน 5 เบอร์ต่อคน โดยได้ให้ กสทช. ไปทำการบ้านเพิ่มกับผู้ประกอบการโทรศัพท์ (operator) ว่าจะต้องมีการดำเนินการอย่างไร
เมื่อสอบถามว่า มาตรการป้องกันเครือข่ายสแกมเมอร์ที่ผ่านมา มุ่งเน้นการจัดการปัญหาในประเทศ แต่ความร่วมมือระหว่างประเทศไม่มีผลจริงหรือไม่ นายไชยชนก กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่งส่งจดหมายไปทางกัมพูชาเพื่อขอความร่วมมือติดตามที่อยู่ IP แอดเดรส คอมพิวเตอร์ที่เข้าข่ายการก่อเหตุทางอาชญากรรม และอีกส่วนหนึ่งที่สามารถขอความร่วมมือได้คือเส้นทางการเงิน และผู้ร่วมปฏิบัติการจากประเทศอื่น โดยเป็นการที่ไทยเข้าไปขอความร่วมมือหรือกดดันประเทศที่เป็นฐานปฏิบัติการเครือข่ายสแกมเมอร์
นายไชยชนก กล่าวด้วยว่า ประเด็นสแกมเมอร์ที่เป็นหนึ่งใน 4 ประเด็นในที่ประชุม JBC นั้น ทุกฝ่ายพยายามทำอย่างระมัดระวัง แต่ถ้ามีการละเมิดในครั้งนี้อีก ก็คงเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของประเทศไทย ระหว่างนี้เราต้องติดตามการตอบรับความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ด้าน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ใช้กำลังในทุกภาคส่วน รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานภายนอกเพื่อมุ่งมั่นปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างจริงจัง กรณีที่มีการประสานข้อมูลจากประเทศเกาหลีใต้ว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย ยอมรับว่ามีจริง แต่ฐานปฏิบัติการของแก๊งเหล่านี้ในประเทศไทยไม่ได้มีความใหญ่โตเหมือนกรณีในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเพียงการแฝงตัวตามที่พักอาศัย โดยผู้กระทำผิดใช้เส้นทางธรรมชาติในการลักลอบเข้ามาในไทยและก่ออาชญากรรม ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้เป็นฐานปฏิบัติการหลัก แต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการหลอกลวง ส่วนที่ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นทางผ่านไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านเพื่อก่ออาชญากรรมนั้น เป็นเรื่องที่กำลังควบคุมอยู่ ซึ่งยอมรับว่าไม่ง่าย แต่หลังจากรับภารกิจนี้จากทางรัฐบาล จะมีการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวอีกว่า กรณีที่มีรายงานข่าวว่าตำรวจไทยพยายามจับกุมและยึดอุปกรณ์ ซิมบ็อกซ์ (Sim Box) ว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับเครือข่ายประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะมีการจับกุมเกิดขึ้นในประเทศไทยและมีการประสานข้อมูลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตำรวจไทยไม่ได้รับการตอบรับกลับมา ซึ่งอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ไม่สามารถทำงานได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ส่งมาจากประเทศเพื่อนบ้านและแปลงเป็นสัญญาณโทรศัพท์เพื่อใช้โทรออกหลอกลวงเหยื่อได้ ส่วนมากผู้ต้องหาที่จับได้จะเป็นคนจีนที่ใช้ชื่อคนไทยในการเช่าบ้าน และอุปกรณ์เหล่านี้ลักลอบนำเข้าหรือสั่งซื้อจากจีนผ่านพัสดุที่ตรวจสอบไม่พบ
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการได้รับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน หากเราวิเคราะห์ข้อมูลและเขาให้ความร่วมมือทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ เราจะต้องใช้วิธีพยายามพูดคุย และร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ หากใช้วิธีบุกเข้าไปโจมตีเหมือนอย่างที่ประเทศเกาหลีใต้เคยทำ อาจถูกมองว่าทำเกินไปและเกิดปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ยังไม่สามารถประสานกับประเทศเพื่อนบ้านให้ร่วมมือได้เต็มที่ ก็จะดำเนินวิธีทางอื่น เช่น การจับกุมเครือข่ายที่อาจมีการกระจายทรัพย์สินในประเทศไทย
พล.ต.ท.จิรภพ ยังกล่าวถึงการประชุมในระดับ JBC (Joint Boundary Committee - คณะกรรมการชายแดนร่วม) ที่เรื่องสแกมเมอร์ถูกจัดเป็นเงื่อนไขที่ประเทศเพื่อนบ้านต้องร่วมมือกับประเทศไทยว่า สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้อันดับแรกคือต้องเชื่อใจเขา เรามีข้อมูลแล้วก็ต้องส่งข้อมูลไป พร้อมทั้งต้องระมัดระวัง เพราะที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์ที่การส่งข้อมูลทำให้เกิดการแตกตื่นและมีการหลบหนี ดังนั้น เราต้องลองส่งข้อมูลไปแล้วดูผลผลิตปฏิกิริยากลับมา


