xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ถือหุ้น "ปริ้นซ์ อินเตอร์ฯ" ยอมรับผู้ถือหุ้นใหญ่ชาวไต้หวันเป็นคนของ "ปรินซ์ โฮลดิ้ง" แต่บริษัทไม่เกี่ยวกัน เคยติดต่อร่วมธุรกิจในกัมพูชาแต่ดีลล่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR Online - ตัวแทนผู้ถือหุ้น "ปริ้นซ์ อินเตอร์ฯ" ยันไม่ใช่บริษัทในเครือ "ปรินซ์ โฮลดิ้งฯ" แต่เคยติดต่อนำสินค้าไทยไปขายในกัมพูชา แต่คาดค่าคอมมิชชั่นสูง จึงเปลี่ยนมาเป็นนายหน้าขายตอนโดของปริ๊นซ์ฯ ในกัมพูชา แต่โครงการไม่ตอบโจทย์คนไทย ดีลจึงล่ม ส่วนผู้ถือใหญ่ชาวไต้หวัน ยอมรับว่าเป็นคนของ "ปรินซ์ โฮลดิ้งฯ" แต่ไม่ได้ร่วมทำธุรกิจอื่นใดในเครือ "เฉิน จื้อ"

วันนี้ (24 ต.ค.) ณ อาคารซิโนไทย ทาวเวอร์ เลขที่ 32/28 ถนนสุขุมวิท 21 (ซอยอโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำโดย ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม คณะพนักงานสืบสวนเรื่องที่ 134/2568 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เข้าสอบปากคำพยานผู้ถือหุ้น 2 คนไทย บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Prince International) ซึ่งเช่าสำนักงานอยู่ที่ชั้น 7 ของอาคาร หลังถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเชื่อมโยงกับเครือข่ายบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) ของนายเฉิน จื้อ ที่ถูกทางการสหรัฐกล่าวหาในคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน จากการดำเนินศูนย์สแกมเมอร์โดยใช้แรงงานบังคับในประเทศกัมพูชา

โดยหลังให้ปากคำเป็นเวลานานกว่า 4 ชั่วโมง ตัวแทน 1 ในผู้ถือหุ้นชาวไทยของบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ก็ออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชนว่า วันนี้ทางบริษัทได้เชิญเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าตรวจสอบ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ และชี้แจงข้อเท็จจริงว่าบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเครือ บริษัท ปรินซ์ โฮลดิง กรุ๊ป พร้อมได้มอบเอกสารหลักฐานเป็นรายชื่อผู้ถือหุ้น บัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีงบประมาณ และเอกสารเส้นทางการเงินย้อนหลังของบริษัทฯ ให้กับดีเอสไอ ซึ่งจะช่วยยืนยันว่ารายได้ของบริษัทไม่ได้เป็นรายได้จากต่างประเทศ รวมถึง ฐานข้อมูลลูกค้าก็มาจากการให้คนไทยเช่าอสังหาริมทรัพย์กว่า 90%

ตัวแทนผู้ถือหุ้น กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่ให้ปากคำ เป็นการตอบข้อซักถามเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ถึงความเกี่ยวข้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป หรือเป็นนอมินี ตัวกลางให้กับแก๊งสแกมเมอร์ในการฟอกเงินหรือไม่ ซึ่งก็ยืนยันว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเป็นบริษัทในเครือใดๆ แต่ยอมรับว่าตอนเริ่มทำธุรกิจ บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เคยเจรจากับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป เพื่อจะนำสินค้าไทยไปขายยังประเทศกัมพูชา

"ทั้งนี้ ในส่วนการตั้งชื่อบริษัทฯ เนื่องมาจากก่อนเริ่มทำธุรกิจนี้เห็นว่าบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป มีความมั่นคง เป็นบริษัทที่ครอบคลุมปัจจัย 4 ของคนกัมพูชา และเปิดช่องทางในการทำธุรกิจ หากมีชื่อที่เกี่ยวข้องกันคิดว่าจะเป็นจุดดีของเรา ในการที่จะมีความเชื่อมโยงกับชื่อบริษัทดังกล่าว แต่เนื่องจากช่วงแรกสินค้าส่งไปจำหน่ายในห้างของเขา มีเรื่องค่าคอมมิชชั่นทำสินค้ามีมูลค่าราคาสูงขึ้น ประกอบกับค่าขนส่ง จึงเปลี่ยนจากการขายสินค้า เป็นการทำธุรกิจนายหน้าเจรจากับบริษัทอสังหาริมทรัพย์แทน เพื่อหาผู้ลงทุน ผู้ประกอบการไทยไปซื้อคอนโดมิเนียมของโครงการของบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ในกัมพูชา แต่ราคาคอนโดฯ ไม่ตอบโจทย์คนไทยได้ เพราะมีราคาสูงและไม่ได้มีมาตรฐานเทียบเท่ากับโครงการอสังหาริมทรัพย์ในไทย ทำให้ไม่ได้ร่วมลงทุนด้วย"


ตัวแทนผู้ถือหุ้น กล่าวอีกว่า บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นชาวไต้หวัน คือ นาย หวัง ยู่ ถัง ซึ่งก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนของบริษัท ปรินซ์ เรียล เอทสเตท อินเวสเมนท์ เป็นบริษัทจดทะเบียนในไต้หวัน ซึ่งอยู่ในเครือบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป แล้วระหว่างนั้นก็มาตั้ง บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในประเทศไทย และได้ชักชวนตนเองกับผู้ถือหุ้นชาวไทยมาร่วมธุรกิจด้วย อีกทั้งยังได้นำชื่อบริษัทไปอยู่ภายใต้เครือบริษัท ปรินซ์ เรียล เอทสเตท อินเวสเมนท์ ของไต้หวัน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และชักชวนคนไต้หวันมาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทย แต่สุดท้ายการเจรจาก็ล่มเหมือนเดิม ทำให้สุดท้ายแล้วบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จึงไม่ได้ร่วมลงทุนทำธุรกิจกับบริษัทใดในเครือปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป หรือมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกันเลย ก่อนจะเปลี่ยนมาเปิดให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ด้วยตนเอง ในปี 2567

ตัวแทนผู้ถือหุ้น ระบุต่อว่า ส่วนสาเหตุที่ชื่อ บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ของไทย ยังปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ของบริษัท ปรินซ์ เรียล เอทสเตท อินเวสเมนท์ ของไต้หวัน นั้นเนื่องจากนาย หวัง ยู่ ถัง ถูกอายัดบัญชีไว้ตรวจสอบ ทำให้ไม่มีอำนาจในการบริหารบริษัท ปรินซ์ฯ ในไต้หวัน และไม่สามารถถอดถอนชื่อ บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ออกจากเว็บได้จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ สำหรับโลโก้และชื่อได้ใช้ตั้งแต่เปิดบริษัทจนถึงปัจจุบัน แต่เหตุผลที่ต้องเอาเว็บไซต์และโลโก้ลง เพราะมันมีความเชื่อมโยงกับการทำงานของพนักงาน เพื่อปกป้องสวัสดิภาพของพนักงาน ไม่ให้เขาต้องถูกคุกคามจากการที่เข้ามาทำงานภายใต้ชื่อปริ้นซ์ อินเตอร์ฯ

นอกจากนี้ หากถามว่าตนเคยได้เจอกับ นายเฉิน จื้อ หรือไม่ ยืนยันว่าไม่เคยเจอ เพราะตำแหน่งเขาคือประธานบริษัทของเขา ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่บริษัทคู่ค้า หรือบริษัทที่เข้าไปทำธุรกิจกับเขาจะได้พบเจอคนตำแหน่งสูงๆ ส่วนตอนที่ถูกชักชวนไปลงทุนนั้น ก็เพราะว่ามีกรรมการของเรา ที่ก็เคยมีชื่อเป็นกรรมการในบริษัท ปรินซ์ไต้หวัน (บริษัท ปรินซ์ เรียล เอทสเตท อินเวสเมนท์) เป็นคนคนเดียวกัน แต่แค่บริษัทไต้หวันใช้ชื่อกับโลโก้ที่คล้ายคลึงกันกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ซึ่งบริษัท ปรินซ์ เรียล เอทสเตท อินเวสเมนท์ ใช้โลโก้เป็นมงกุฏ ใกล้เคียงกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป จึงทำให้มาเชื่อมโยงกับบริษัทของเราได้

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีบริษัทที่ใช้ชื่อ "Prince" อีกแห่ง จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าบริษัทดังกล่าว เป็นบริษัทที่ ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป จัดตั้งขึ้นมา เพื่อทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย จึงได้มอบข้อมูลทั้งหมดให้กับดีเอสไอไปเรียบร้อยแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น