MGR Online – ศาลแขวงปทุมวันยกฟ้อง “พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ” หลัง “บิ๊กโจ๊ก” ฟ้องหมิ่นฐานหมิ่นประมาท ชี้เป็นบุคคลสาธารณะกำลังได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผช.ผบ.ตร. จึงสามารถติชมได้ ไม่ถือว่าเป็นความผิดหมิ่นประมาท
วันนี้ (21 ต.ค.) ที่ศาลแขวงปทุมวัน ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.1225/2567, อ.65/2568 และ อ.73/2568 ระหว่าง พนักงานอัยการ (โจทก์) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล (โจทก์ร่วม) ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ (จำเลยที่ 1) กับพวก ในความผิดฐานแจ้งความอันเป็นเท็จ, หมิ่นประมาท และ สนับสนุนให้มีการเผยแพร่ข้อความที่ร้องขอรื้อฟื้นคดีนั้นให้นักข่าวเพื่อนำไปลงข่าวให้เกิดความเสียหายกับโจทก์ โดยศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ ประกอบไปด้วย
ข้อหาที่หนึ่ง แจ้งความอันเป็นเท็จ ศาลพิพากษาว่าข้อความดังกล่าวมิใช่เป็นเท็จเนื่องจากจำเลยที่หนึ่งไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง และเป็นการตั้งคำถามไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจทำการตรวจสอบ ในประเด็นที่พบว่ามีข้อพิรุธต่าง ๆ ในสำนวนการสืบสวนข้อเท็จจริง ของจเรตำรวจ และประเด็นต่างๆที่ไม่สามารถยุติลงไปได้
ข้อหาที่สอง ข้อกล่าวหาว่าหมิ่นประมาท ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่หนึ่งเป็นการติชมตามครรลอง ครองธรรม อยู่ในกรอบในเกณฑ์ ที่สามารถกระทำได้ อีกทั้งโจทก์เป็นข้าราชการตำรวจชั้นสูง เป็นที่สนใจของประชาชน เป็นบุคคลสาธารณะ การติชมนั้นเป็นการติชมโดยสุจริต
ข้อหาที่สาม สนับสนุนให้มีการเผยแพร่ข้อความที่ร้องขอรื้อฟื้นคดีนั้นให้นักข่าวเพื่อนำไปลงข่าวให้เกิดความเสียหายกับโจทก์หรือไม่ ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่หนึ่งไม่มีหลักฐานยืนยันว่าได้ส่งข้อความให้กับนักข่าว และมีพยานหลักฐานหลายส่วนหลายอย่างที่แสดงจำเลยที่หนึ่งไม่มีการแถลงข่าว จำเลยที่หนึ่ง ได้ตอบปฏิเสธนักข่าวเมื่อนักข่าวโทรมาถามข้อมูล และจำเลยที่หนึ่งนำสืบว่ามีเจ้าหน้าที่รับเรื่องหนังสือนั้นได้ถ่ายเอกสารส่งต่อไปรายงานผู้บังคับบัญชาโดยพลการ อีกทั้งรูปภาพที่นำไปออกในข่าวนั้น ก็เป็นรูปภาพที่เกิดจากคนอื่นถ่ายภาพไม่ใช่นักข่าว
สำหรับ คำพิพากษาโดยย่อระบุว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โจทก์ร่วม ถือเป็น "บุคคลสาธารณะ" เนื่องจากขณะนั้นกำลังจะได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งระดับสูงที่มีบทบาทและอำนาจหน้าที่สำคัญในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งยังมีผู้สื่อข่าวและประชาชนจำนวนมากติดตามการทำงานของโจทก์ร่วมอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์ที่เป็นผู้สื่อข่าว
ดังนั้น การแต่งตั้งโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลที่ประชาชนให้ความสนใจ ให้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ย่อมส่งผลถึงภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยที่ประชาชนย่อมจะติชมได้
แม้จำเลยที่ 1 (พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์) จะเป็นข้าราชการ แต่ก็ถือเป็นประชาชนคนหนึ่ง ย่อมอยู่ในฐานะที่จะแสดงความคิดเห็นติชมในเรื่องดังกล่าวได้ เมื่อพิจารณาประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้จัดให้มีการแถลงข่าวหรือเปิดเผยข้อความให้แพร่หลายไปยังบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่เป็นการแสดงเจตนาที่ไม่สุจริต
ศาลวินิจฉัยว่า แม้การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวจะเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม แต่ถือเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งอื่นใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ จึงได้รับการยกเว้นไม่ถือว่าเป็นความผิดหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับคดีนี้ ในส่วนของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 นั้น โจทก์ร่วมได้ถอนฟ้องไปก่อนหน้านี้ ศาลจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยทั้งสองออกจากสารบบความแล้ว