สว.สำรอง ยื่นฟ้อง กกต.-เลขาฯ 8 รายปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ปมคดีฮั้วเลือกตั้งสว. ระบุพฤติกรรมคล้ายยื้อเวลาให้การสอบสวนล่าข้า
เมื่อเวลา 10.00น วันนี้ (16 ต.ต.) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ นายวิเชียร ศรีสุด และสมาชิกชมรมสภาเที่ยงธรรม พร้อมด้วย พ.ต.อ.สมพล เรืองเกตุพันธุ์ สว.สำรอง และอดีตผู้สมัคร สว.ที่เข้ารอบสุดท้าย รวม 2 คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กกต.และเลขาธิการ ทั้ง 8 คน
ทั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อเดือน กันยายน 2568 นายวิเชียร ศรีสุด ประธานสภาชมรม "สภาเที่ยงธรรม"หรือภาคีเครือข่ายเพื่อการปฏิรูสถาบันนิติบัญญัติ หรือเรียกชื่อย่อว่า "ภปน." ได้รับร้องเรียนจาก สว.สำรองและอดีตผู้สมัคร สว.ว่า กกต.ได้ทำสำนวนการยื่นถอดถอน สว.จำนวน 138 คน เป็นระยะเวลานานเกิน 1 ปี โดยคณะกรรมการ กรรมการ และเลขาธิการ ไม่ได้ควบคุม กำกับ ดูแล ตรวจสอบและเร่งรัด การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ทำให้สำนวนการถอดถอน สว.เกิดความล่าช้า กกต.จึงยังไม่ส่งสำนวนการยื่นถอดถอนสว.ไปยังศาลฎีกา (แผนกเลือกตั้ง) ทำให้ สว.สำรองและอดีตผู้สมัคร สว.ได้รับความเสียหายเนื่องจากเมื่อไม่มีการยื่นสำนวนถอดถอน สว.ไปยังศาลฎีกาทำให้ สว.สำรองไม่อาจเลื่อนขึ้นไปแทนที่ สว.ที่ถูก ยื่นถอดถอนได้ และหากจำนวนสว, ที่เหลือไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้อดีตผู้สมัคร สว. มีการเลือกตั้งซ่อมขึ้นแทนตำแหน่งของสว.ที่เหลืออยู่ได้ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสว.พ.ศ.2561 มาตรา 62,มาตรา 45
นายวิเชียร ศรีสุด จึงได้มอบคดีที่ กกต.ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป.ป.ช.มาตรา 172 ให้ ทนายความประจำชมรม " สภาเที่ยงธรรม" รับคดีไปดำเนินการยื่นฟ้อง กกต.ทั้ง คน (รวมทั้งนายแสวง บุญมีและนายอิทธิพร บุญประคอง กับพวก) ยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เขตตลิ่งชันเพื่อยื่นฟ้อง กกต.ทั้ง 8 คน
พ.ต.อ.สมพล เรืองเกตุพันธ์ ทนายความประจำชมรมสภาเที่ยงธรรม เปิดเผยว่า ตัวเองได้รับมอบหมายจากสภาเที่ยงธรรมให้ดำเนินการฟ้องร้องกกต. ทั้ง 8 คน หลังพบพฤติกรรมเข้าข่ายยื้อกระบวนการสอบสวนคดีฮั้วสว. เพราะส่วนตัวมองว่าคดีดังกล่าวควรต้องเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนตั้งแต่วันที่มีการประกาศผลเลือกตั้ง คือวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 โดยคดีนี้ตามหลักแล้วจะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี แต่พบว่าล่วงเลยมากว่าสามเดือนแล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้า ซึ่งคดีนี้การสอบสวนอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกกต.และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอสืบสวนสอบสวนแล้วเสร็จและได้ส่งเรื่องให้กกต.ตรวจสอบภายในกรอบระยะเวลา 60 วันนับแต่ที่ได้รับสำนวน เพื่อส่งสำนวนต่อไปให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อพิจารณาตัดสิน แต่กลับพบว่ากกต. ได้ตั้งหลักเกณฑ์ใหม่ โดยส่งสำนวนไปยังคณะต่าง ๆ ของกกต. ที่ตั้งขึ้นมาเอง จึงมองว่าเป็นการยื้อเวลา เพราะหากนับรวมทุกขั้นตอนจะต้องใช้เวลามากกว่า 8 เดือน จึงจะสามารถส่งสำนวนให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้ ซึ่งจุดนี้ตัวเองมองว่า ไม่น่าจะต้องใช้ระยะเวลานานขนาดนั้น
ภายหลังยื่นคำร้องต่อศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้รับคำฟ้อง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท.182/2568 โดยนัดตรวจคำฟ้องในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.30 น.