ศึกอดีตอัยการสูงสุด ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ศาลอาญาคดีทุจริตฯรับไต่สวนมูลฟ้องคดี “นารี”อดีต อสส. ตั้งคณะทำงานตรวจสอบดุลพินิจ ”สิงห์ชัย“ อดีตอสส.ย้อนหลังไม่ชอบ ชี้ พฤติการณ์ครบองค์ประกอบความผิดเเล้ว
วันนี้ (14 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเร็วๆนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำสั่ง ศาลอุทธรณ์แผนกคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการรับไต่สวนมูลฟ้อง น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อดีตอัยการสูงสุดคนที่ 17 ในความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
สำหรับคดีดังกล่าวเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 16/2567 ที่นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อดีตอัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อดีตอัยการสูงสุด นายศักดา ช่วงรังษี อดีต รองอัยการสูงสุด หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง บริษัท ซี.พี.เค. ฯกับพวก บุกรุกยึดครองหรือทำประโยชน์ในอุทยานแห่งชาติฯ ใน อ.ภูเรือ จ.เลย เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดวาระการดำรงตำแหน่ง 30 ก.ย. 2565
น.ส.นารี จำเลยที่ 1 เคยดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุด และพ้นวาระการดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2566 นายศักดา จำเลยที่ 2 เคยดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ลำดับอาวุโสที่ 4
น.ส.นารี จำเลยที่ 1 มีสาเหตุโกรธเคือง อันเนื่องมาจากความขัดแย้งในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอัยการ ตามวาระการประชุมกลั่นกรองรายชื่อ พนักงานอัยการที่ได้รับการพิจารณาโยกย้าย (ประชุม โต๊ะเล็ก) ก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการอัยการ (ประชุม โต๊ะใหญ่) จำเลยที่ 1 ซึ่งจะขึ้นดำรงตำแหน่ง อัยการสูงสุดต่อจากโจทก์เข้าร่วมประชุมด้วย จำเลยที่ 1 เสนอรายชื่อข้าราชการอัยการ ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหลายรายมีความสนิทสนมและพยายามโน้มน้าวให้กรรมการอัยการคนอื่นคล้อยตาม แต่โจทก์คัดค้าน เนื่องจากไม่เป็นไปตามลำดับอาวุโส
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น "ว่าที่อัยการสูงสุด" สูญเสียความน่าเชื่อถือและไม่พอใจ หลังจากที่โจทก์พ้นวาระการดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด จำเลยที่ 1 ซึ่งมีสาเหตุโกรธเคืองดังกล่าวได้ออก คำสั่งให้โจทก์ดำรงตำแหน่งอัยการอาวุโสประจำสำนักอัยการสูงสุดเท่านั้น ไม่ได้แต่งตั้งให้โจทก์เป็นที่ปรึกษาอัยการสูงสุดตามมติคณะกรรมการอัยการแต่อย่างใด
ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่พอใจในตัวโจทก์แต่เดิม เนื่องจากขณะโจทก์ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด ได้มี ผู้ร้องเรียนส่งบัตรสนเท่ห์มายังประธานคณะกรรมการอัยการ ผู้ร้องเรียนกล่าวหาจำเลยที่ 2 ว่าในขณะที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการสำนักคดีปกครองภูเก็ต และขณะดำรงตำแหน่ง อธิบดีอัยการสำนักคดีอาญาตลิ่งชัน จำเลยที่ 2 ไม่อุทิศเวลาของตนให้แก่ทางราชการและทิ้งหน้าที่อันเป็นการไม่ปฏิบัติตาม พรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่าย
อัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 66
โจทก์ได้แต่งตั้ง นาย ศ. ผู้ตรวจการอัยการตรวจสอบ ข้อเท็จจริง โดยระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นช่วงที่มีการพิจารณาแต่งตั้งตำแหน่งรองอัยการสูงสุด จำเลยที่ 2 อยู่ในลำดับอาวุโสที่ได้รับการแต่งตั้ง แต่เนื่องจากจำเลยที่ 2 มีเรื่องถูกร้องเรียนและสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นทำให้การนำเสนอชื่อจำเลยที่ 2 เพื่อโปรดเกล้าดำรงตำแหน่งเป็นรองอัยการสูงสุดเป็นไปโดยล่าช้าอันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2ไม่พอใจและโกรธเคืองโจทก์
เมื่อน.ส.นารี จำเลยที่ 1 ขึ้นตำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดได้ออกคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 420/2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีข่าวสาร และเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและ อาจมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยตั้งคณะทำงาน 5 คณะมีอำนาจหน้าที่ใน การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการสั่งคดีของพนักงานอัยการเกี่ยวข้องกับคดีที่แต่ละคณะได้รับมอบหมาย
คณะทำงานที่ 2,3 เเละ5 เป็นคดีที่โจทก์ได้ชี้ขาดความเห็นแย้งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 และมาตรา 145/1 ส่วนคณะทำงานที่ 4เป็นคดีที่โจทก์มีคำสั่งกรณีความผิดที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20
ทั้ง 4 คดีที่โจทก์มีคำสั่งและชี้ขาด ความเห็นแย้งดังกล่าวเป็นคดีที่ผ่านการพิจารณาของพนักงานอัยการที่รับผิดชอบพิจารณาและสรุปความเป็นเสนอตามระดับชั้น จนถึงชั้นที่โจทก์มีคำสั่งตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายเพื่อมีคำสั่งและชี้ขาดไม่ฟ้อง
การที่น.ส.นารี จำเลยที่ 1 อ้างอำนาจหน้าที่ตามความในมาตรา 19 เเละ27 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการฯ ในการออกคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งที่บทบัญญัติดังกล่าวเป็นอำนาจในการบริหารงานคดีทั่วไป
หากจำเลยที่ 1 ประสงค์ให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการพิจารณาสั่งสำนวน จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของการตรวจสอบสำนวนโดยส่งเรื่องให้สำนักวิชาการ สำนักงานอัยการสูงสุด
ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงตามการแบ่งส่วนราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด
แต่จำเลยที่ 1 ละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามลำดับขั้นตอนแบบแผนของราชการสำนักงานอัยการ สูงสุดโดยไม่ส่งเรื่องให้สำนักงานวิชาการหรือสำนักงานคณะกรรมการอัยการพิจารณาตามหน้าที่แต่ต้น
นอกจากนั้นจำเลยที่ 1 ยังได้แต่งตั้งจำเลยที่ 2ให้เป็นหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงคณะที่ 2 ทั้งที่จำเลยที่ 1 ทราบดีอยู่แล้วถึงสาเหตุที่จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์และมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์มาก่อน ถือว่าจำเลยความไม่เป็นกลางต้องห้ามตาม พรบ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 16
จำเลยที่ 1 ย่อมคาดหมายได้ว่าโจทก์จะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าคณะทำงาน
อีกทั้งในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานคณะที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ตรวจสอบ ข้อเท็จจริงและพิจารณาทำความเห็นให้ข้อเสนอแนะก้าวล่วงไปถึงดุลพินิจในการพิจารณาสั่งคดีของโจทก์ในฐานะอัยการสูงสุดโดยไม่มีอำนาจ และจำเลยที่ 2 ยังเสนอความเห็นให้อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน (นาย อ.) ให้ดำเนินการทางวินัยร้ายแรงแก่โจทก์
ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ,157 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้นัดไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 , 157 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฯมาตรา 172 และ พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในชั้นตรวจฟ้อง
คดีอยู่ระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้ไต่สวนมูลฟ้องก่อนชอบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการออกคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 420 /2566 ของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่แต่งตั้งจำเลยที่ 2เป็นหัวหน้าคณะทำงานที่ 2 เป็นการออกคำสั่งที่มิชอบ เมื่อนำมาประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องของโจทก์ตามฟ้องแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังที่กล่าวมาจึงครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
และ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 172 แล้ว ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 1 จะเป็นความผิดตามที่ โจทก์กล่าวหาหรือไม่ เป็นเรื่องที่โจทก์ชอบที่นำไปพยานหลักฐานเข้าไต่สวนเพื่อให้ไห้ได้ความว่าคดีของโจทก์มีมูลที่จะรับฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับฟ้องไว้ เพื่อทำการไต่สวนมูลฟ้องถึงมูลคดีที่จำเลยที่ 1 ต้องหาเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นด่วน พิพากษายกฟ้องโจทก์ในชั้นตรวจฟ้องนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์แผนกคดี
ทุจริตและประพฤติมิชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามรูปคดีต่อไป นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น