ครอบครัวเด็ก 2 ขวบ ไล่ตีสุนัขเปิดหลักฐานโต้กลับ “วอชด็อก” ยันมูลนิธิฯตกลงไม่ดำเนินคดีทั้งแพ่ง และอาญา หลังเห็นคลิป สุนัขจัรจัดไล่กัดลูกสาวคู่กรณี ถามกลับพ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ แล้วลูกตนถูกสุนัขจรจัดกัดใครคุ้มครอง
จากกรณีเพจ “มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ Watchdog Thailand Foundation - WDT“ โพสต์คลิป “น้องขาว” สุนัขจรจัด ที่ถูกไล่ตีเมื่อหลายวันก่อน พร้อมระบุข้อความไว้ว่า “ดูเหมือนจะมีการลงข่าวผิดๆนะ ว่า WDT ถอนแจ้งความชายไล่ตีหมา #ไม่เป็นความจริงนะครับ คดียังคงดำเนินไปโดยผู้ต้องหาก็มารับทราบข้อกล่าวหาเรียบร้อยแล้ว และรับสารภาพแล้วด้วยว่าทำจริง คลิปกล้องวงจรปิดเพียงแต่แสดงให้เห็นว่าเกิดเหตุการณ์หมากัดเด็กจริง และพนักงานเซเว่นพร้อมผู้ดูแล แม่ค้าต่างๆที่ดูแลเจ้าขาวก็ช่วยกันชดใช้ค่าเสียหายค่ารักษาพยาบาลไปเรียบร้อยแล้ว การไล่ตีหมาของชายผู้เป็นพ่อเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์หมากัดเด็ก จึงไม่ใช่ทั้งเป็นการป้องกันทรัพย์สิน หรือป้องกันตัว เป็นการมาไล่ตี ไล่ฟาด เพราะความโกรธแค้น และเจ็บใจ ซึ่งกฎหมายไม่อนุญาตนะครับ ดังนั้นจึงมีการดำเนินคดีทารุณกรรมสัตว์ตามปกติ ไม่ได้มีการถอนแจ้งความแต่อย่างใดอย่างที่เป็นข่าว กรณีหมากัดเด็กกับกรณีมาไล่ตีหมาเพราะความโกรธแค้นและเจ็บใจมันคนละเรื่องคนละกรณีกันครับ กฎหมายไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายทารุณกรรมสัตว์เพราะความโกรธแค้นหรือเจ็บใจครับ”
ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 13 ต.ค. 68 ผู้สื่อข่าวพบนายชัญญา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ผู้ก่อเหตุไล่ตีสุนัข กล่าวว่า จากกรณีที่เป็นข่าว ตนและทางมูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ ได้มีการเข้ามาพูดคุยเจรจาที่ สภ.ปากเกร็ด เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตนไม่ได้รับสารภาพว่าตีสุนัข แต่ได้ให้ข้อมูลว่าพยายามจะไล่ตีสุนัขจริง แต่ไล่ตีไม่ทัน สาเหตุมาจากลูกสาววัย 2 ขวบ ถูกสุนัขกัดได้รับบาดเจ็บ ทางมูลนิธิฯแจ้งว่ายังไม่เห็นคลิปจากกล้องวงจรปิด และไม่ทราบว่าลูกสาวของตนถูกสุนัขกัด ซึ่งจะถอนแจ้งความให้ และได้มีการลงบันทึกทั้ง 2 ฝ่าย ว่าตนจะไม่ไล่ทำร้ายสุนัขตัวดังกล่าวอีก ส่วนทางมูลนิธิฯก็ไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง และอาญา
จากกระแสดราม่าในโซเชียล ครอบครัวของตนเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้รับผลกระทบมาก หลังจากมีการพูดคุยและได้ข้อยุติ ทางมูลนิธิฯควรแก้ไขเรื่องราวต่างๆ แต่เงียบทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันต่อมากลับมาโพสต์ว่าไม่ถอนแจ้งความและยืนยันจะดำเนินคดีกับตนอีก ซึ่งตนรู้สึกงงมาก กฎหมายเรื่อง พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ มีไว้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ควรดูต้นสายปลายเหตุก่อน หากสุนัขไม่มากัดลูกสาวตนก่อนคงไม่ได้ไปพยายามไล่ตีแบบนั้น เพราะตนก็เห็นสุนัขตัวนี้มานาน ตั้งแต่ทำงานที่เซเว่นนี้เมื่อ 2-3 ปีก่อนด้วย ก็ไม่คิดว่าสุนัขตัวนี้จะมากัดลูกสาวของตน หากเป็นลูกของคุณ หรือครอบครัวของคุณโดนสุนัขกัดบ้างจะทำยังไง ส่วนบางคอมเมนต์ในโซเชียลต่างๆ อยากให้ดูข้อเท็จจริงก่อน และขอบคุณหลายๆคอมเมนต์ที่เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อแบบตน
ด้าน น.ส.อังคณา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี แฟนสาวของนายชัญญาฯ ผู้ก่อเหตุ กล่าวว่า วันที่ครอบครัวของตนได้เจอกับทางมูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ ที่สภ.ปากเกร็ด ได้มีการลงบันทึกทั้ง 2 ฝ่าย ว่าสามีตนจะไม่ไล่ทำร้ายสุนัขตัวดังกล่าว ส่วนทางมูลนิธิฯก็ไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง และอาญา อีกต่อไป แต่เมื่อวานตนเห็นโพสต์ในเพจของมูลนิธิฯ ว่าไม่มีการถอนแจ้งความและจะดำเนินคดีสามีของตน ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าทางมูลนิธิฯต้องการอะไร อยากให้มองถึงข้อเท็จจริงว่าสุนัขกัดลูกสาวของตนได้รับบาดเจ็บ คอมเมนต์ในเพจมูลนิธิฯวันแรกๆแรงมาก มีแต่ด่าครอบครัวตน กล่าวหาว่าลูกสาวตนไปแหย่สุนัขก่อน แต่เมื่อความจริงปรากฎทางมูลนิธิฯก็ไม่ได้มีการโพสต์ขอโทษ หรือชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งที่ควรจะทำ
ตนรู้สึกเสียใจมากที่สังคมฟังความข้างเดียว กล่าวหาว่าตนไม่สั่งสอนลูก มีคนรับผิดชอบแล้ว รับเงินแล้วแต่ไม่จบ ซึ่งวันแรกที่เกิดเหตุตนได้รับเงินจากป้าที่ให้อาหารสุนัขเพียง 1,000 บาท และยังไม่ได้รับเงินจากเซเว่นเลย ตนยืนยันว่าไม่ได้รังเกียจสุนัข แต่ตนก็รักลูกของตนเหมือนกัน ซึ่งทางมูลนิธิฯบอกกับตนว่า พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ มากกว่าคน แล้วลูกตนถูกสุนัขกัดใครคุ้มครอง ภายหลังครอบครัวตนได้เงินมาจากเซเว่น จำนวน 2,800 บาท มันก็คือค่ารักษาพยาบาล ค่าหยุดงาน ที่ตนต้องเสียเวลาพาลูกไปหาหมอและฉีดวัคซีนให้ครบ ตนอยากให้คนในโซเชียลที่อยู่ข้างสุนัขเห็นใจครอบครัวของตนและฟังเสียงสะท้อนจากครอบครัวของตนบ้าง ไม่ใช่เห็นใจแต่สุนัข ลูกสาวตนก็เป็นคน ซึ่งวันนี้ตนก็ดีใจด้วยที่เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดกับครอบครัวคุณ
เบื้องต้น ตนได้มีการพูดคุยปรึกษาทนาย และจะดำเนินคดีกับเพจมูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ เนื่องจากครอบครัวของตนได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ชาวบ้านต่างมองครอบครัวตนทะเลาะกับสุนัข และมีหลายคอมเมนต์ที่เข้าข้างสุนัข ตอนแรกครอบครัวตนไม่ได้ติดใจใดๆ เพียงอยากให้ทางมูลนิธิฯแก้ไขโพสต์ในเพจ เพราะมีการพูดคุยและเจรจากันทั้ง 2 ฝ่ายเรียบร้อยแล้ว แต่ทางเพจมูลนิธิฯกลับมาโพสต์ว่าไม่ได้ถอนแจ้งความ และจะดำเนินคดีสามีตนอีก หลังจากนี้คงต้องดำเนินการตามกฎหมาย