ศาลฎีกายกฟ้อง "เจ๊ปอง-อัญชะลี - ดร.ภูวดล-ยุทธิยง" แนวร่วมพันธมิตรชุมนุมหน้าสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เมื่อปี 51 ส่วน "ชิติพัทธ์" จำเลยที่ 4 พิพากษาแก้ลดโทษจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (19 ก.ย.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาม็อบพธม.บุกสถานีโทรทัศน์ช่องNBT.คดีดำ.อ1033/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที แนวร่วม พธม. และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล น้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปอั้งยี่ ซ่องโจร เป็นหัวหน้าสั่งการ บุกรุกสถานที่ราชการทำให้เสียทรัพย์ กรณีเมื่อปี 2551 จำเลยกับพวกที่ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วได้ร่วมกันบุกยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) ในช่วงการชุมนุมของ พธม. เพื่อขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช คดีนี้ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุกจำเลยคนละ 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกา และได้รับการประกันตัวคนละ 2 แสนบาท
โดย น.ส.อัญชะลี และนายยุทธิยง เดินทางมาถึงศาลอาญาในเวลาประมาณ 08.40 น. และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เรามีเจตนาที่ไม่มีความจริงตามที่เขากล่าวหา คิดว่ามันเป็นเงื่อนไขของกาลเวลาของการเมือง มีผู้คนจำนวนมากมากันเป็นหมื่นเป็นแสน และคิดหลากหลายไม่เหมือนกัน ในฐานะที่ไม่ใช่แกนนำ แต่เป็นที่รู้จักของผู้คน เมื่อต้องทำหน้าที่ในการสื่อสาร ก็สื่อสารให้ทุกอย่างอยู่ในครรลองของกฎหมาย สื่อสารให้พลเมืองของคนในชาติ ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง สื่อสารสิ่งเหล่านี้ไป และเป็นบทบาทของเรา ในสำนึกของเรา การที่อยู่ในบทบาทนี้ ก็จะเห็นผู้คนว่า การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญในการ ชุมนุมมีคนจำนวนมากอย่างที่เล่าให้ฟัง ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของความรับผิดชอบ ที่จะต้องสื่อสารให้ดีที่สุด ให้เกิดประโยชน์ที่สุด ให้เป็นกุศลต่อบ้านเมืองมากที่สุด ในทุกสถานการณ์นี่เป็นสำนึกที่พวกเรา เป็นและถูกหล่อหลอมมาด้วยชีวิต
อย่างไรก็ตาม วันนี้จำเลยได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา 3 คน ยกเว้นนายภูวดล ที่ไม่สามารถเดินทางมาได้ เนื่องจากป่วยติดเตียงอยู่ที่โรงพยาบาล โดยได้แถลงข้อเท็จจริงดังกล่าวแก่ศาลแล้ว ศาลจึงได้หารือและเห็นว่า เห็นสมควรให้นางพานิต ทรงประเสริฐ ภรรยาของนายภูวดลเดินทางมาแถลงข้อเท็จจริงต่อศาล ก่อนที่ในเวลาต่อมา ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นสมควรว่าจะปรึกษาหารือกับผู้บริหารของศาลก่อน เพื่อให้ได้ข้อสรุป โดยนัดให้คู่ความมาพบอีกครั้ง ในเวลา 13.30 น.
เมื่อถึงเวลา 13.30 น.ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยถ่ายทอดระบบวิดีโอคอนเฟอเร้นซ์ไปยังศูนย์ดูแลผู้ป่วยย่านสายไหม ที่นายภูวดลรักษาตัวอยู่ โดยมีเจ้าหน้าที่ศาลและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไปดูแลความเรียบร้อยในเวลา 14.30 น.
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 1-3 พยานโจทก์ และพยานหลักฐานอื่นๆมีน้ำหนักน้อย ยังมีข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสามเดินทางไปสถานีวิทยุโทรทัศน์ NBTในเวลาใด รวมทั้งไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุนว่า จำเลยที่ 1-3 ให้คำปรึกษา คำแนะนำ หรือสั่งการกับกลุ่มมวลชนกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1-3 ที่ศาลล่างทั้งสอง พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1-3 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1-3 ที่อ้างว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือสั่งการนั้นฟังขึ้น
ส่วนจำเลยที่ 4 พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกัน เห็นว่า จำเลย เป็นผู้สั่งการมวลชนกลุ่มพันธมิตร ฯทั้งข่มขู่เจ้าหน้าที่ให้เกิดความกลัวโดยนับถอยหลัง 1- 60 ให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ การออกอากาศ ให้รีบออกจากอาคารที่ทำการ การทำลายประตูทางเข้า และทรัพย์สินอื่นเสียหายกว่า 6 แสนบาท และภาพจำเลยที่ 4 พูดโทรศัพท์ในบริเวณห้องโถงของอาคารมีน้ำหนัก ข้ออ้างจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 4 มานั้นหนักเกินไป เห็นควรปรับโทษเสียใหม่ให้เหมาะสม ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้จำคุกจำเลยที่ 4 รวม 8 เดือน คำให้การจำเลยที่ 4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้างลดโทษให้ 1ใน 4 คงจำคุกจำเลยที่ 4 ไว้ 6 เดือนไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่1-3 พิพากษายกฟ้อง
ภายหลังมวลชนจำนวนหนึ่งที่มาให้กำลังใจเมื่อทราบผลคำพิพากษาก็โห่ร้องปรบมืด้วยความดีใจ ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้นำตัวนายชิติพัทธ์ จำเลยที่ 4ไปควบคุมไว้บริเวณใต้ถุนศาล เพื่อนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ก่อนย้ายไปเรือนจำอื่น
ขณะที่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส ได้เปิดเผย ขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่ามา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชนถือว่าเป็น 20 ปีที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมกับมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง
เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ
ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ รถคันที่เข้าไปเป็นคนละคันและห้วงเวลาต่างๆขัดกัน ศาลฎีกาได้พิพากษากลับยกฟ้องจำเลยทั้ง 3 คน
น.ส.อัญชะลี ยังระบุว่าเราไม่ต้องทำอะไรที่ระมัดระวัง เพราะเราทำทุกสิ่งด้วยความรอบคอบเราทำทุกอย่างบนความคิด และความเชื่อของเรา อะไร แต่อะไรที่กฎหมายมองว่าผิดก็ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย เรื่องการบ้านการเมืองไม่ต้องใช้ความระมัดระวังเราต้องใช้หัวใจกับความรู้ของเรา หลังจากนี้จะเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมือง เราจะสู้จะช่วยโดยที่ไม่ต้องระมัดระวังสิ่งใด ยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นภาคประชาชนเป็นสื่อมวลชนเห็นอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรก็คิดว่าจะ เราจะต้องทำ เราต้องแก้ไขในสิ่งผิดให้ถูก เราต้องไปช่วยคลี่คลายความทุกข์ให้พี่น้องประชาชนในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่ง
โดยคำตัดสินในวันนี้ทำให้มีกำลังใจในการทำงานเพิ่มขึ้นหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่าไม่ได้เอาเรื่องคดีมาเป็นปัจจัยในชีวิต เรามีพลังในการทำงานทุกวัน คำตัดสินในวันนี้ก็ไม่ได้เพิ่มพลัง หรือลดทำให้เราย่ำอยู่กับที่แต่มันทำให้เราดีใจโล่งอก หมดทุกข์หมดโศกหมดโรคหมดภัย และทำงานต่อไป
ส่วนที่ นายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ได้รับการลดโทษ ศาลให้เหตุผลว่าเป็นการทำไปเพื่อจุดมุ่งหมายส่วนรวม เป็นจุดมุ่งหมายที่ดี และให้การเป็นประโยชน์จึงลดจากเดิม 1 ปี ลดมาเหลือ 8 เดือน ก่อนที่จะลดโทษลงมาเหลือ 6 เดือน แต่ที่โทษจำคุกไม่รอลงอาญา เนื่องจากยังต้องรับผิดทางคดี
ด้านนายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที กล่าวว่า มาฟังคำพิพากษาวันนี้ ตนสัญญากับครอบครัวไว้ว่าอยากจะกลับไปบ้าน และได้ตั้งสัจจะจิตอธิฐานไว้ว่าจะเดินจากศาลอาญาไปกราบพระพุทธชินสีห์ ซึ่งเป็นพระประธานวัดบวรวรวิหาร คดีนี้ใช้เวลานาน 11 ปีที่เรายากลำบากกันมา วันนี้ก็ไม่นึกว่าจะโชคดี สำหรับการเดินจะมีมวลชนบางส่วนร่วมเดินไปด้วย ก็จะเดินไปเรื่อยๆ เลียบทางรถไฟ ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง