xs
xsm
sm
md
lg

จำคุก 1 ปีไม่รอลงอาญา ”ชัยวัฒน์“ คดีตรวจรับงานเท็จ ก่อสร้างที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าแก่งกระจาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ  (แฟ้มภาพ)
ศาลอาญาคดีทุจริตฯพิพากษาจำคุก 1 ปีไม่รอลงอาญา “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร”อดีตผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ผิดมาตรา 157 คดีตรวจรับงานเท็จ ก่อสร้างที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยคมกฤต ส่วนข้อหาทุจริตฯ-ฮั้วประมูลยกฟ้อง

เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 จ.สมุทรสงคราม ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อท.65/2567 ที่พนักงานอัยการ ยื่นฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 7 คน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83,86,157 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐฯมาตรา 4,12

กรณีดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยคมกฤต อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรีโดยมิชอบ

ซึ่งจำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 6,7 ขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธแล้วให้การใหม่เป็นรับสารภาพ

ศาลพิเคราะห์แล้ว สำหรับความผิดฐานตกลงร่วมกันในการเสนอราคาที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยหลีกเลี่ยงแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม

ในส่วนของจำเลยที่ 1,2และที่ 4-7และความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ

ในส่วนของจำเลยที่ 2-7 นั้นโจทก์จะต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดฐานต่างๆ ดังกล่าวมายังศาลภายในกำหนด 10ปีนับแต่วันกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) ซึ่งโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อพ้นกำหนด 10ปีนับแต่วันกระทำความผิด คดีความผิดฐานต่างๆ ข้างต้นจึงขาดอายุความสิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับความผิดฐานดังกล่าวของโจทก์จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6)

แม้จำเลยทั้งเจ็ดจะมิได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์ แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด เเห่งที่ 1 เเละ 2 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 6,7 เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม โดยการกีดกันไม่ให้มีการเสนอสินค้าอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐฯ เพื่อเอื้ออำนวยแก่จำเลยที่ 6,7 ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐนั้น

ในส่วนของจำเลยที่ 4,5 ทางไต่สวนได้ความว่ามีชื่อเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่6,7แต่มิได้เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารงานของจำเลยที่ 6,7 ที่แท้จริง ผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือนายสนอง

โดยจำเลยที่ 4,5 ให้การและนำสืบทำนองเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองไม่รู้เห็นและไม่ทราบเรื่องที่นายสนองอนุญาตให้นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 ใช้ชื่อจำเลยที่ 6,7 ไปซื้อซองประกวดราคา เข้าเสนอราคาและทำสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาท ทั้งมิได้เป็นผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัยไปดำเนินการเรื่องดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อที่จำเลยที่4,5 ขอให้ศาลส่งหนังสือมอบอำนาจที่ระบุว่าจำเลยที่ 4,5 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัยไปดำเนินการเรื่องดังกล่าว ไปให้กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจพิสูจน์ ซึ่งผู้ตรวจพิสูจน์ให้ความเห็นว่า ไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลเดียวกัน และเจือสมกับที่พยานโจทก์ปากน.ส.อัญชลี ได้ให้การและเบิกความยืนยันว่าจำเลย 4,5 ไม่เคยสั่งให้พยานทำ รับมอบหรือส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับโครงการพิพาท

ทั้งนางนฤมลซึ่งเป็นบุตรสาวนายสนองก็ให้การและเบิกความทำนองว่าเพิ่งมาทราบเรื่องที่จำเลยที่ 1ขอใช้ชื่อจำเลยที่ 6,7 จากนางสาวอัญชลีและนายสนอง ภายหลังจากที่มีการประกวดราคาโครงการพิพาทเสร็จสิ้นแล้ว

จึงเป็นไปได้ว่าจำเลยที่ 4-5 ทราบเรื่องดังกล่าวภายหลังจากที่มีการประกวดราคาโครงการพิพาทเสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4-5 เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำ

ส่วนจำเลยที่ 1,2 และที่ 6-7 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่พยานโจทก์ให้การและเบิกความสอดคล้องต้องกันในข้อสาระสำคัญว่า

นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1ขอใช้ชื่อจำเลยที่ 6,7 จากนายสนอง นำไปเป็นผู้เสนอราคาในการประกวดราคาก่อสร้างโครงการพิพาท โดยจำเลยที่ 1 สั่งการให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัยไปซื้อซองเอกสารประกวดราคาพร้อมแบบแปลนอาคาร ยื่นเอกสารประกวดราคาและเข้าร่วมเสนอราคาในนามของจำเลยที่ 6-7 และสั่งการให้จำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อเป็นผู้รับจ้างในสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาท กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แทนจำเลยที่ 6 โดยจำเลยที่ 6-7 มิได้มีเจตนาที่จะเข้าเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาทมาตั้งแต่แรก และมิได้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างโครงการพิพาทตามสัญญาแต่อย่างใด

แต่นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 3 ติดต่อหาช่างมาดำเนินการก่อสร้างโครงการพิพาทแทน
และให้ช่างที่จำเลยที่ 3 จัดหามาดังกล่าวสั่งซื้อวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการพิพาทจากห้างหุ้นส่วนจำกัดท่ายางค้าไม้ซึ่งเป็นห้างในเครือเดียวกันกับจำเลยที่ 6-7 โดยใช้ชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งซื้อ

เมื่อสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3(บ้านโป่ง) อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินค่าจ้างก่อสร้างและโอนเงินค่าจ้างเข้าบัญชีของ จำเลยที่ 6 จึงนำเงินที่ได้รับดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้ค่าวัสดุที่มีการสั่งซื้อจากห้างหุ้นส่วนจำกัดท่ายางค้าไม้ และคืนเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 2 นำไปจ่ายเป็นค่าแรงให้แก่ช่างที่จำเลยที่ 3 จัดหามาต่อไป

เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1-2 และที่ 6-7 ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่จำเลย 6-7 เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับกรมอุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ

แต่อย่างไรก็ดีสาเหตุที่ นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 ขอใช้ชื่อจำเลยที่ 6-7 จากนายสนอง เชื่อว่าเป็นเพราะไม่มีผู้สนใจเข้าเป็นผู้เสนอราคา และจำเลยที่ 1 เกรงว่างบประมาณที่ได้รับจะตกไปทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการพิพาทได้ จำเลยที่ 1 จึงขอให้นายสนองช่วยเหลือโดยขอใช้ชื่อห้างของนายสนองมาเป็นผู้เสนอราคา

โดยนายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 มิได้กระทำการใดอันเป็นการกีดกันมิให้ผู้อื่นเข้ามาเสนอราคา หรือเอาเปรียบกรมอุทยานแห่งชาติฯ แต่อย่างใด และเมื่อการประกวดราคาโครงการพิพาทมีผู้เสนอราคาเพียง 2 ราย คือจำเลยที่ 6,7เท่านั้น โดยเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องแข่งขันราคากัน แต่เหตุที่ต้องใช้ชื่อจำเลย
เข้าเป็นผู้เสนอราคา น่าจะเป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเป็นผู้เสนอราคาเดียว ซึ่งคณะกรรมการประกวดราคาอาจเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการให้ยกเลิกการประกวดราคาได้


ถือไม่ได้ว่า นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 มีเจตนาหรือความมุ่งหมายที่จะมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมในการประกวดราคาโครงการพิพาท

พยานหลักฐานของโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่า นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ หรือกระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าเสนอราคารรายใด ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ เมื่อจำเลยที่ 1 ตัวการไม่มีความผิดฐานนี้ จำเลยที่ 2,67 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนฃในการกระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย

ส่วนปัญหาว่า นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ หรือไม่นั้น เห็นว่า นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการตรวจการจ้างโครงการพิพาท มีหน้าที่ตรวจสอบรายงานผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้อมที่ผู้ควบคุมงานรายงาน 
โดยตรวจสอบกับแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา

เมื่อตรวจเห็นว่าเป็นการถูกต้อง ครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแล้ว ก็ต้องทำใบรับรอง เพื่อเบิกจ่ายเงินตามระเบียบว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินจากคลัง แล้วรายงานให้หัวหน้าส่วนราชการทราบ ในกรณีที่เห็นว่าผลงานที่ส่งมอบไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการในสัญญาก็ต้องรายงานหัวหน้าส่วนราชการผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุเพื่อทราบ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ

พยานหลักฐานโจทก์ตามทางไต่สวนได้ความว่า นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1มอบหมายให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ติดต่อหาช่างมาดำเนินโครงการพิพาท และให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมงานฝ่ายผู้รับจ้าง โดยนายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 มิได้เข้าไปควบคุมงานด้วยตนเอง เมื่อมีปัญหาข้อขัดข้องไม่สามารถก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ นายรุ่งจะสอบถามและดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องไปตามที่จำเลยที่ 3 สั่งการ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 แจ้งปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ทราบด้วยหรือไม่

จึงเชื่อว่าขณะที่ นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 เข้าไปตรวจการจ้างโครงการพิพาท จำเลยที่ 1 อาจไม่เห็นงานก่อสร้างโครงการพิพาทที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุในส่วนรายการที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา เช่น ในส่วนของงานฐานราก เป็นต้น

แต่ข้อเท็จจริงได้ความตามที่นายสัมฤทธิ์และนายรุ่ง ต่างให้การและเบิกความสอดคล้องกันว่า นายรุ่งก่อสร้างโครงการพิพาทไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุซึ่งสามารถตรวจสอบและมองเห็นได้ด้วยตาหลายรายการ อาทิ ในส่วนอาคารที่ทำการ ตามบัญชีแสดงปริมาณวัสดุระบุโครงสร้างหลังคา เช่น อกไก่ จันทัน แป อะเส ตะเฆ่ ฯลฯ เป็นไม้เนื้อแข็ง 
และตามแบบรูปรายการระบุเป็นไม้แต่กลับมีการก่อสร้างโดยใช้เหล็กรูปพรรณแทนไม้เนื้อแข็ง ในส่วนงานมุงหลังคา ไม่พบรางน้ำฝนรอบอาคารที่ทำการตามที่กำหนดในบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ ในส่วนโถส้วมของอาคารที่ทำการและบ้านพักคนงาน ขนาด 4 ครอบครัว (แบบแยกหลัง) ตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุที่กำหนดให้มีโถส้วมเป็นแบบนั่งราบมีถังเก็บน้ำ (ฟลัชแท็งก์) รุ่นประหยัดน้ำ 6 ลิตร แต่นายรุ่งกลับใช้โถส้วมเป็นแบบนั่งราบราดน้ำ

นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 ทำหนังสือชี้แจงและเบิกความรับว่า เดินทางไปตรวจสอบงานก่อสร้างว่าผู้รับจ้างปฏิบัติงานถูกต้องเป็นไปตามแบบรูปรายการหรือไม่ ย่อมจะต้องเห็นงานก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุดังกล่าว ทั้งทราบดีว่าจำเลยที่ 6ซึ่งเป็นผู้รับจ้างตามสัญญามิได้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการพิพาท และนายรุ่งมิใช่ผู้รับจ้างช่วงจากจำเลยที่ 6

การที่ นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 ตรวจรับงาน และลงลายมือชื่อรับรองในใบตรวจการจ้างและรับรองผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างว่า ถูกต้องตามสัญญาจ้างงวดที่ 1-10(งวดสุดท้าย) เป็นเงินจำนวน 3,527,000 บาท จึงเป็นการรายงานเท็จ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ส่วนที่อ้างทำนองว่าไม่มีเจตนาทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือรัฐได้รับความเสียหายและไม่มีเจตนาทุจริตนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารายการวัสดุก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุมีราคาถูกกว่ารายการตามที่ระบุในแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ ทั้งจำเลยที่ 6 มิได้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการพิพาท จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้างจากกรมอุทยานแห่งชาติฯ ตามสัญญา

การที่ นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 ตรวจรับงาน และลงลายมือชื่อรับรอง เพื่อเป็นหลักฐานให้สำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 อนุมัติให้เบิกจ่ายเงิน 3,499,037 บาทให้แก่จำเลยที่ 6 จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมอุทยานแห่งชาติฯ และเป็นผลให้จำเลยที่ 6 และนายรุ่ง ได้รับประโยชน์ จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น อันเป็นการกระทำโดยทุจริตฯ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดฯเเละเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

พิพากษาว่า นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 123/1 การกระทำเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 1 ปี 6 เดือน คำเบิกความเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2-7 ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกทั้งนี้ ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 ในระหว่างอุทธรณ์ ตีราคาประกันหลักทรัพย์ 3 เเสนบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น