MGR Online - ทนายปราบโกง พาผู้ต้องหา ขอความเป็นธรรม ดีเอสไอ คดีฉ้อโกง 3,000 ล้านบาท ยื่นหนังสือสอบถามความคืบหน้าคดี หลังสำนวนไม่คืบหน้า
วันนี้ (27 ส.ค.) ณ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายกฤษฎา อินทามระ หรือ "ทนายปราบโกง" เดินทางมายื่นหนังสือถึง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ขอความเป็นธรรมและสอบถามความคืบหน้าของคดีพิเศษที่ 97/2559 ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีร่วมกันฉ้อโกง , ปลอมและใช้เอกสารปลอม, ร่วมกันฟอกเงิน และซ่องโจร โดยมีผู้ต้องหารวม 12 คน และมี น.ส.ทิพาวรรณ สุขภา เป็นผู้ต้องหาที่ 7 โดยมี น.ส.อรุณศรี วิชชาวุธ ผอ.กองบริหารคดีพิเศษ เป็นผู้แทนรับเรื่อง
นายกฤษฎา เปิดเผยว่า คดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2559 โดย ดีเอสไอได้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้ง 12 คน และส่งสำนวนให้อัยการ เมื่อวันที่ 23 ก.ค.62 ซึ่งอัยการได้นัดผู้ต้องหาทั้งหมดไปฟังคำสั่งในวันที่ 20 ก.ย.62 แต่กลับส่งตัวผู้ต้องหากลับมาที่ ดีเอสไอ โดยไม่มีการชี้แจงเหตุผล ทำให้ผู้ต้องหาเกิดความประหลาดใจเป็นอย่างมาก
นายกฤษฎา เผยว่า เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง น.ส.ทิพาวรรณ ผู้ต้องหาที่ 7 ได้รับใบแจ้งว่าอัยการได้คืนสำนวนให้ ดีเอสไอ ไปดำเนินการต่อตามมาตรา 20 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) และให้นัดเข้ารายงานตัวในวันที่ 16 ธ.ค.62 แต่หลังจากนั้นคดีก็เงียบหายไปนานถึง 2 ปี 5 เดือน ก่อนที่ ดีเอสไอ จะเรียกตัวผู้ต้องหาที่ 7 ไปรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม โดยครั้งนี้เพิ่มยอดความเสียหายเป็นกว่า 700 ล้านบาท หลังจากนั้นคดีก็เงียบหายไปอีก 1 ปี 6 เดือน ก่อนที่ ดีเอสไอ จะแจ้งข้อหาเพิ่มอีกครั้ง โดยเพิ่มจำนวนความเสียหายเป็นเกือบ 3,000 ล้านบาท สร้างความแปลกใจให้กับผู้ต้องหาที่ 7 เป็นอย่างมาก
นายกฤษฎา กล่าวว่า ในระหว่างที่คดีหลักเงียบหายไปนั้น พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้นำคดีที่มีมูลเหตุและข้อหาเดียวกันไปฟ้องที่ศาลอาญา และศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีหมายเลขแดงที่ อ.952/2568 โดยศาลได้ระบุว่ามีการทุจริตในกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งการทุจริตนี้ได้ขยายผลไปถึงสถาบันการเงินใหญ่แห่งหนึ่งที่อ้างว่าเป็นผู้เสียหาย โดยมีหลักฐานชี้ว่ามีการวิ่งเต้นทางคดีเพื่อปรักปรำผู้บริสุทธิ์ แม้ผู้ต้องหาที่ 7 จะไม่ถูกฟ้องในคดีดังกล่าว แต่ก็ถูกอายัดทรัพย์สินหลายรายการ ทั้งที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 5 แปลงในใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งทรัพย์สินบางส่วนติดจำนองกับสถาบันการเงินดังกล่าว ทำให้สถาบันการเงินฟ้องล้มละลายจนศาลมีคำพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายไปแล้วในที่สุด
"นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยให้กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการกลั่นแกล้งเข้าไปใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่ถูกอายัดเพื่อทำเป็นสมาคมกีฬาแข่งนกพิราบ สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับผู้ต้องหาที่ 7 เนื่องจากที่ผ่านมาได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีดีเอสไอ ไปแล้ว 2 ครั้ง ในเดือน เม.ย. และ มิ.ย.68 กระทั่งล่าสุด ดีเอสไอรับว่าจะแจ้งผลให้ทราบภายในวันที่ 30 มิ.ย.68 แต่ก็ไม่แจ้งผล จึงต้องมาติดตามเรื่องเพื่อขอให้ ดีเอสไอ ชี้แจงความคืบหน้าของคดีอย่างโปร่งใส พร้อมทั้งขอให้ยุติคดี , เพิกถอนหมายจับ , ถอนการยึดอายัด และคืนทรัพย์สินของผู้ต้องหาที่ 7"
นายกฤษฎา ยืนยันว่า หากพบว่ามีการกลั่นแกล้งผู้ต้องหาที่ 7 ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ก็จะดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดให้ถึงที่สุดต่อไป
ด้าน น.ส.ทิพาวรรณ ระบุว่า ตนไม่ใช่นักธุรกิจ แค่เปิดร้านขายโทรศัพท์มือถือในห้างสรรพสินค้า ย่านรังสิตซึ่งปิดไปนานแล้ว ดีเอสไอ เรียกมาพบก็มาทุกครั้งแต่คดีเลื่อนไปมาตลอด แม้คดีพิเศษนี้จะส่งไปฟ้องอัยการแต่ก็ส่งกลับมา ตนยืนยันความบริสุทธิ์ว่าเพียงแค่มีการยืมเงินและโอนเงินกันบ้างระหว่างตนกับผู้ต้องหาคนอื่นในคดีนี้ แม้จะมีอายุความ 10 ปี แต่ปัจจุบัน เป็นมะเร็งเต้านมระยะสอง ซึ่งไม่รู้ว่าชีวิตจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ปัจจุบันก็ถูกยึดอายัดทรัพย์สินไปทั้งหมดและถูกฟ้องล้มละลาย สมบัติที่มีเป็นอาคารก็มีคนบุกรุกเข้าไปใช้เป็นสถานที่เพาะเลี้ยงนกพิราบ ตนไม่รู้จะดำเนินการแก้ปัญหาชีวิตนี้อย่างไรจึงได้ปรึกษาทนายปราบโกงมาร้องทุกข์ขอความยุติธรรม