“ทนายสงกาญ์” พร้อมพยาน เข้าพบตำรวจไซเบอร์แจ้งความเอาผิด “หมอปลาย” กรณีเผยแพร่ข้อความทำนายเกี่ยวกับเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก
วันนี้ (8 ส.ค.) ที่กองบังคับการตำรวจสืบสานสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สอท.1) นายสงกาญ์ อัจฉริยะทรัพย์ หรือทนายสงกาญ์ ประธานชมรมเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พร้อมพยาน เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.ณวรชา พินิจโรคากร หรือ หมอปลาย พรายกระซิบ จากกรณีเผยแพร่ข้อความทำนายเกี่ยวกับเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก โดยมี พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 รับเรื่อง
นายสงกาญ์กล่าวว่า เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของหมอปลายทั้งการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับประเด็นที่ว่าจะมีเหตุปะทะชุดใหญ่ไฟกะพริบภายใน 1-2 วัน รวมทั้งโพสต์คลิปเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม อ้างว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้บริหารประเทศเอง เสมือนว่าตอนนี้ประเทศไม่มีรัฐบาลบริหารประเทศ และจะมีผู้ชายมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งตนมองว่าข้อความดังกล่าวกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รวมทั้งจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนในช่วงสถานการณ์อ่อนไหวแบบนี้
นายสงกาญ์กล่าวว่า จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับทางตำรวจไซเบอร์ เพื่อดำเนินคดีกับหมอปลายตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในความผิดฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มาตรา 14 (2) พร้อมนำพยานหลักฐานเป็นถอดเสียงคลิปสัมภาษณ์และโพสต์เฟซบุ๊กของหมอปลาย พรายกระซิบ กว่า 50 หน้ามามอบให้กับทางตำรวจ
นายสงกาญ์กล่าวอีกว่า หวังจะให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนสำหรับบรรดานักพยากรณ์ หรือหมอดูทั้งหลายว่าอย่าอวดอ้างหรือทำนายทายทักในสิ่งที่ไม่เป็นจริงและส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งตนก็เคยดำเนินคดีกับหมอดูเรนนี่มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน เรื่องนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตนก็ไม่อยากจะก้าวล่วงเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล แต่ขอให้อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องและกฎหมายบ้านเมือง ทั้งนี้ ไม่หวั่นเกรงว่าจะถูกทัวร์จากแฟนคลับหมอปลายมาลง เพราะสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ทุกคนต้องมีเหตุมีผลและมีสติตั้งมั่น และจะเฝ้าจับตาดูบรรดาผู้วิเศษทั้งหลายว่าจะมีลักษณะพฤติกรรมคล้ายคลึงกันอีกหรือไม่ และขอฝากไปยังสื่อมวลชนและรายการต่างๆ ว่าขอให้พิจารณาทบทวนการนำผู้วิเศษมาทำนายทายทักหรือพูดอะไรที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคงในช่วงสถานการณ์อ่อนไหวแบบนี้
ขณะที่ น.ส.เอ อายุ 39 ปี พยานบุคคลซึ่งเป็นชาว จ.ตราด เข้าให้ปากคำได้เปิดเผยว่า เคยเป็นแฟนคลับของหมอปลาย แต่พอเห็นโพสต์และคลิปสัมภาษณ์ของหมอปลายทำนายว่าสถานการณ์ตามแนวชายแดนจะเลวร้ายลง กอปรกับบ้านของตนติดอยู่กับแนวชายแดนกัมพูชาพอดี ทำให้เกิดความวิตกกังวลและหวั่นเกรงว่าจะมีเหตุปะทะใหญ่ขึ้นมาจริงๆ ทำให้รู้สึกเครียด กระวนกระวาย เป็นห่วงความปลอดภัยครอบครัว จนถึงขั้นอยากอพยพและหวาดระแวงว่าจะเกิดการรุกรานแถวบ้านจริงๆ มองว่าคนเป็นหมอดูควรจะต้องใช้วิจารณญาณและดุลพินิจในการสื่อสารว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด เพราะจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างมาก
ด้าน พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า หลังจากนี้จะนำพยานหลักฐานไปตรวจสอบว่าพฤติการณ์ของหมายปลายเข้าองค์ประกอบความผิดตามม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน ใช้เวลาไม่นาน โดยหลักจะต้องดูว่าพยานหลักฐานที่มีนั้นชี้ชัดว่าผู้ถูกกล่าวหาคือหมอปลายเป็นผู้นำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ผ่านบัญชี Social Media ของตนเองหรือไม่ หากพบว่าเป็นผู้นำเข้าข้อมูลด้วยตนเองก็จะมีความผิดในข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ตามที่ถูกกล่าวหา แต่ถ้าพบว่าไม่ได้เป็นผู้นำเข้าข้อมูลด้วยตนเองก็จะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 384 ซึ่งเป็นคดีที่หมอปลายถูกทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ และทนายเกิดผล แก้วเกิด แจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา หากไม่ผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตำรวจไซเบอร์ก็อาจนำพยานหลักฐานไปรวมคดีที่ สภ.ปากเกร็ดต่อไป
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์กล่าวอีกว่า การกระทำความผิดตามมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น 1 กรรมหรือ 1 โพสต์เท่ากับโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 10,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ จึงฝากเตือนไปยังบรรดาหมอดูหรือผู้วิเศษทั้งหลายว่าแม้คุณจะอยู่บนพื้นฐานความเชื่อศรัทธาของประชาชน แต่การชี้นำทำนายใดๆ ขอให้พิจารณาถึงข้อกฎหมายและประเด็นสังคมในเวลานั้นด้วย ยิ่งหากเป็นเรื่องของชายแดนที่มีความละเอียดอ่อน อาจจะส่งผลกระทบให้ประชาชนตื่นตระหนกได้ ดังนั้น ควรจะต้องมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ ขณะเดียวกัน ผู้ที่แชร์ข้อมูลต่อก็มีความผิดตามกฎหมายเช่นเดียวกัน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าไม่รู้ว่าข้อมูลผิดกฎหมายขณะที่แชร์