ศาลฎีกาเรียกแพทยสภาขึ้นไต่สวนคดี ทักษิณพักชั้น 14 จำนวน 3 ปาก ด้านทนายวิญญัติระบุ ศาลต้องการความชัดเจนบางอย่าง หมอวรงค์-ชาญชัยเผย แพทยสภาเบิกความชัดเจน ยันไม่ป่วยกฤติ ถึงขั้นนอนโรงพยาบาลหลายวัน
เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น.วันนี้ (25 ก.ค.) ที่ศาลฎีกา สนามหลวง ศาลนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 6 โดยก่อนหน้านี้ศาลได้นัดไต่สวนนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ มหานครกลุ่มแพทย์ประจำสถานพยาบาลราชทัณฑ์ 5 ปาก และกลุ่มพัศดีเวรประจำวัน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ และแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ
โดยในวันนี้จะเป็นการไต่สวนพยานในส่วนของเจ้าหน้าที่แพทยสภาทั้งหมด
ต่อมานายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ศาลออกหมายเรียกตัวแทนจากแพทยสภาที่เป็นอนุกรรมการสอบสวนที่เคยสอบข้อเท็จจริงไปก่อนหน้านี้ ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตุว่าทางแพทยสภาได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมา 2 อนุกรรมการ เท่าที่ตนทราบมาก่อนหน้านี้ว่าอนุกรรมการทั้ง 2 มีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามคณะกรรมการแพทยสภาที่ออกมติก่อนหน้านี้ก็มีความเห็นที่สวนทางกับทางอนุกรรมการทั้ง 2 แต่สาระสำคัญที่ศาลเรียกตัวแทนจากแพทยสภามาในวันนี้น่าจะเป็นการให้ความเห็นเกี่ยวกับอาการป่วยของนายทักษิณ และการรักษาที่เป็นไปตามจริยธรรมหรือไม่ ซึ่งศาลน่าจะอยากได้ความจริงบางอย่างที่ต้องการความชัดเจนมากขึ้น
เมื่อถามว่าวันที่ 30 ก.ค.นี้ ที่จะเป็นการไต่สวนนัดสุดท้าย ที่จะนำศ.ดร. วิษณุ เครืองามขึ้นไต่สวน จะเป็นการไต่สวนลับหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า การไต่สวนในวันที่ 30 ก.ค. ตนคาดว่าจะเป็นการไต่สวนนัดสุดท้ายแล้ว โดยเป็นนัดที่ศาลให้โอกาสจำเลยขอสิทธิ์ในการยื่นหลักฐานไปหลายส่วน แต่พยานบุคคลจะมีเพียงปากเดียวซึ่งถือว่าเป็นพยานปากสำคัญคือ ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม จะเป็นการพิจารณาโดยเปิดเผยตามปกติ แต่ตนก็มีเรื่องที่จะร้องต่อศาลหลังจากการไต่สวนนัดที่แล้วมีบุคคลบางคนมากระทำการบางอย่างบริเวณศาล วันนี้ตนได้ยื่นคำร้องต่อศาลแล้ว และจะรอดูศาลว่าจะใช้ดุลยพินิจอย่างไรหลังจากนี้
ในช่วงเช้าเป็นการไต่สวนพยานในส่วนของแพทยสภาจำนวนทั้งหมด 3 ปากเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของจำเลยซึ่งเป็นสาเหตุให้ส่งตัวจำเลยจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ
พยานปากที่ 1 (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา) เป็นอุปนายกแพทยสภา ได้ให้ความเห็นหลังจากอ่านเอกสารทางการแพทย์เกี่ยวกับการรักษาตัวนายทักษิณ โดยมาด้วยอาการเฝ้าระวังอาการโรคหัวใจ แต่พอมาถึงโรงพยาบาลตำรวจกลับได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์อีกอาการหนึ่งที่ไม่ร้ายแรงและให้ความเห็นว่าไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล โดยพยานปากนี้ได้ทำเอกสารชี้แจงรายละเอียกถึงคำศัพท์ทางการแพทย์รวมทั้งความเห็น ยื่นต่อศาลและศาลรับไว้ และให้ความเห็นเกี่ยวกับยารักษารักษาโรคของนายทักษิณ รวมถึงใบเสร็จที่ต้องระบุถึงชื่อยา พร้อมตอบคำถามของนายวิญญัติ และยอมรับว่าไม่ทราบระบบและห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลตำรวจ
ส่วนพยานปากที่ 2 เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์และไอซียูได้ให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่าการรักษาจำเลยไม่จำเป็นต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล สามารถไปกลับได้
พยานปากที่ 3 (ศ.นพ.กีรติ เจริญชลวานิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศูนย์ออร์โธปิดิกส์) เบิกความว่าการรักษาไม่ใช่การรักษาแบบเร่งด่วนสามารถรอการผ่าตัดได้ โดยส่วนใหญ่แพทย์มักให้การรักษาเบื้องต้นด้วยการบำบัดและการทานยาก่อนการผ่าตัด โดยเป็นการผ่าตัดเล็กไม่เร่งด่วนสามารถรักษาตัวแบบไปกลับไม่จำเป็นต้องนอนที่โรงพยาบาล อีกทั้งการตรวจอาการแน่นหน้าอกก็ไม่พบความเกี่ยวข้องกับโรคที่แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์กังวลและแพทย์โรงพยาบาลตำรวจก็ไม่ได้ให้การรักษาอาการดังกล่าวและสามารถกลับไปอยู่ที่เรือนจำได้
ศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนพยานบุคคลครั้งสุดท้ายวันที่ 30 ก.ค. 2568 เวลา 09.30 น. โดยทนายความจำเลยจะนำ ศ.ดร. วิษณุ เครืองาม มาเบิกความ
ภายหลังไต่สวนพยานเสร็จแล้ว นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.จ.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้แพทยสภาเป็นพยานไต่สวนการรักษาตัวนายทักษิณ โดยเปิดโอกาสให้ทนายความจำเลยซักถามได้เต็มที่ ทำให้ปรากฎความจริงชัดเจนขึ้น ทั้งข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงและกระบวนการยุติธรรมได้ปรากฎให้ประชาชนเรียนรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นความถูกต้องอยู่ตรงไหน และจะทราบในไม่เกิน 10 วัน
นอกจากนี้ศาลเองก็ได้รับเรื่องจากจำเลยประเด็นที่ร้องว่ามีการไลค์สดในบริเวณศาล ศาลได้ยกคำร้อง โดยในนัดหน้าจะทำนายวิษณุ เครืองาม พยานจำเลยมาไต่สวน ซึ่งจะพิจารณาลับไม่ได้ เพราะจะขัดต่อกฎหมายประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ต้องรอดูว่าเมื่อนายวิษณุ มาศาลฎีกาแล้วจะเบิกความไต่สวนอย่างไร
เพราะวันนี้คำวิจฉัยของแพทยสภาที่ออกมานั้นชอบแล้ว ไม่ได้ลงโทษสุ่มสี่สุ่มห้า ตนมองว่ายังเบาไปด้วยเพราะพฤติกรรมไปช่วยคนคนหนึ่งทำให้กระบวนการแพทย์เสียหาย รวมทั้งความเสียหายของประเทศด้วย
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี กล่าวว่า ข้อกล่าวหาที่สงสัยกันว่านักโทษรายนี้ป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบบาล 180 กว่าวัน ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็เรียกว่าตอกฝาโลงแล้ว ทุกอย่างสิ้นสงสัยแล้วว่าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง แม้จะเคยมีประวัติมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ฉุกเฉิน และแพทย์เจ้าของไข้ที่รับตัวไว้ก็ไม่ตรงกับโรคที่ป่วย
และไม่ได้ตรวจโรคเฉพาะทางที่อ้างว่าป่วย ซึ่งจะต้องทำการตรวจเฉพาะทางทันทีในคืนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ส่งตัวนักโทษมารักษา
ทั้งนี้ปัญหาโรคร้ายแรงที่ส่งตัวมา ก็ได้รับการยืนยันว่าไม่ได้วิกฤตถึงขั้นที่จะต้องอยู่โรงพยาบาล
โดยสรุปที่เราได้ฟังมา แม้นักโทษจะเป็นโรคหลายโรค แต่ก็ไม่ได้กำเริบจนต้องนอนโรงพยาบาลต่อเนื่องหลายวัน
จากนั้นนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ให้สัมภาษณ์ โดยกล่าวถึงเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาว่า ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนและขอไว้อาลัยกับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย ส่วนการไต่สวนวันนี้เป็นการไต่สวนตัวแทนของแพทยสภาซึ่งเดิมตนเห็นว่ามีตัวแทนทั้งหมด 6 ราย แต่ศาลพิจารณาแล้วว่สจะพิจารณาทั้งหมด 3 ราย ซึ่งก่อนที่จะเข้าให้การในวันนี้ตนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของแพทยสภา ซึ่งหากทางฝ่ายนั้นนำอคติทางการเมืองเข้ามาปนเปื้อน ตนเชื่อว่าศักดิ์ศรีของแพทยสภาอาจจะลดน้อยลง หรืออาจจะไม่เหลือเลยก็ได้ ซึ่งวันนี้ตนก็พยายามถามพยานทั้ง 3 ปาก ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลงมติลงโทษแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจหรือไม่ ซึ่งมีหนึ่งในพยานไม่ขอตอบคำถามของตน ซึ่งตนก็เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นกระบวนการของแพทยสภา ซึ่งแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจสามารถใช้สิทธิ์ทางปกครองได้อยู่แล้ว
นายวิญญัติ กล่าวอีกว่า ลงรายละเอียดการไต่สวนในวันนี้ไม่ได้เพราะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาล แต่โดยรวมตนเห็นว่าข้อเท็จจริงที่เป็นที่สงสัยของคนทั้งประเทศและผู้ที่สนใจคือการให้การของแพทยสภาเองก็ยอมรับว่านายทักษิณมีอาการป่วยจริงหลายโรค ทั้งโรคเรื้อรังและโรคที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลัน ซึ่งส่วนที่เป็นโรคเฉียบพลันก็ถูกส่งมายังโรงพยาตำรวจในคืนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพส่งมาอยู่แล้ว ตนจึงพยายามถามเกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานและการตรวจรักษาของแพทย์ก็ตรงกันว่าอาการเฉียบพลันหรือกำเริบของโรคดังกล่าวมีจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นความจำเป็นที่จะต้องนอนโรงพยาบาล ส่วนการนอนที่ชั้น 14 หรือมีห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องฉุกเฉินนั้นก็มีความชัดเจนเช่นกัน ซึ่งอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่งก็ให้ความเห็นว่าที่โรงพยาบาลอื่น ๆ ก็มีห้องที่เป็นห้อง VIP และไม่ได้จัดเป็นห้องฉุกเฉินเช่นกันซึ่งสอดคล้องกับเรื่องนี้ ทั้งหมดนี้ตนเห็นว่าการให้ความเห็นของแพทย์ทั้ง 3 ราย ให้ความเห็นเกี่ยวกับโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ไม่ได้พูดถึงโรคร้ายแรง นอกจากนี้การที่มาให้การและศาลเรียกไต่สวนพยานหลายปาก ตนอยากให้ลองนึกดูว่าถ้าญาติใกล้ชิดป่วยบ้างจะทำอย่างไร จะต้องส่งตัวออกไปรักษาไหม ตนไม่ได้เรียกร้องว่าจะต้องมาเห็นใจนายทักษิณ แต่ตนพูดถึงกรณีทั่วไป ที่ถ้าไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่าเหตุผลที่พยานและจำเลยได้อธิบายต่อศาลไป มีน้ำหนักพอหรือไม่
นายวิญญัติ กล่าวว่า เรื่องนี้มีสภาพบังคับในเรื่องที่ศาลกำหนดวันไต่สวนอยู่แล้ว ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายของพยานที่ศาลได้ออกหมายเรียกมาให้การต่อศาล ครั้งหน้าจะเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นพยานฝ่ายจำเลย ตนคิดว่าไม่น่าจะข้ามไปถึงเดือน ส.ค. โดยศ.ดร.วิษณุ เครืองามจะเข้ามาเป็นพยานเป็นที่ประจักษ์ข้อเท็จจริงและรู้ถึงการกลับมาประเทศไทย การรับตัว และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ปรากฎอาการป่วยของนายทักษิณเป็นอาการป่วยของบุคคลสำคัญของประเทศ เนื่องจากเคยเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นการป่วยที่ต้องสืบค้นสาเหตุให้ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ และที่สำคัญแพทยสภาไม่เคยตำหนิมาตรฐานดุลยพินิจทางการแพทย์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร แต่มีความเห็นดชิงตรงข้ามเกี่ยวกับการปฏิบัติของแพทย์แต่ละคนเท่านั้น ซึ่งในการไต่สวนครั้งสุดท้ายตนเชื่อว่าการให้ข้อเท็จจริงของ ศ.ดร.วิษณุ จะเป็นประโยชน์ในความเห็นของการวินิจฉัยต่อไป
เมื่อถามว่านายทักษิณจะเข้าฟังการไต่สวนในครั้งสุดท้ายหรือไม่
นายวิญญัติ กล่าวว่า ครั้งหน้านายทักษิณก็ได้รับอนุญาตจากศาลไม่ต้องเข้าฟังการไต่สวนเช่นเดิม จะมีแต่ทีมทนายความและพยานเท่านั้นที่เข้ามาฟังการไต่สวน และหลังจากนั้นคาดว่าศาลจะนัดฟังคำสั่งคำร้อง
เมื่อถามว่ามีข้อสังเกตอย่างไรว่าหลักฐานบางอย่างทำให้ปิดประตูเรื่องนี้สำหรับนายทักษิณไปแล้ว
นายวิญญัติ กล่าวว่า ข้อสังเกตเหล่านั้นมีมาๆตลอดทั้งการข่มขู่ว่าจะโดนอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งเรื่องการชี้นำสังคม ซึ่งตนไม่สบายใจ และตนมองว่าที่สังคมไทยแตกแยกทุกวันนี้เพราะมีบุคคลบางกลุ่มมีพฤติกรรมแบบนี้ ตนไม่อยากไปโต้เถียงเพราะตนรู้ว่าใครทำอะไรบ้าง และมีหน้าที่แค่พิสูจน์กับทำหน้าที่ในศาล ตนถึงไม่ให้ความเห็นของศาลในที่สาธารณะเลย เชื่อว่าความจริงก็คือความจริง ส่วนความเห็นของฝ่ายนั้นจะเป็นอย่างไรจะเป็นการปิดฝาโลงไหมก็เป็นเรื่องของฝ่ายนั้น
เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นทนายความมองว่าหลักฐานต่าง ๆ หนักแน่นพอหรือไม่
นายวิญญัติ กล่าวว่า ตนถือว่าเป็นการพิสูจน์ความจริงของหน่วยงานราชการต่างๆ และสถาบันการแพทย์ อาการป่วยของนายทักษิณมานำเสนอต่อศาล ซึ่งตนถือว่าครบถ้วนแล้ว ส่วนประเด็นภาวะวิกฤติหรือฉุกเฉิน นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ประเด็นหลักแต่เป็นเรื่องศักยภาพของโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเพียงพอหรือไม่รวมทั้งเป็นไปตามระเบียบขั้นตอนของราชการหรือไม่ เชื่อว่าชัดเจนหมดแล้วและมีความจริงปรากฎอยู่