ศาลฎีกาพิพากษาเเก้ให้สถานพยาบาลร่วมรับผิด “เซปิง” 1 เเสนบาท โครงการเฟซออฟ โฆษณาเกินจริง หลังผู้เสียหายฟ้องผ่าตัดหน้าพัง
เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ศาลเเพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเเพ่ง ที่นางสุภาวดี เหลืองทอง เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.เซปิง ไชยศาส์น ,นายบทมากร วัฒนะนนท์ ,บริษัทเอ็ม เอฟ เซอร์เจอรี่ เซ็นเตอร์ จำกัด ,แพทย์หญิงจันทร์จิรา แปงหน้อย เป็นจำเลยที่ 1-4 ฐานละเมิด สถานพยาบาลเอกชน กรณีหลอกลวง โฆษณาเกินจริง เเละความผิดตามกฏหมายคุ้มครองผู้บริโภค
โจทก์ฟ้องว่า น.ส.เซปิง จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโครงการ เฟซออฟ บาย ด็อกเตอร์เซปิง จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า X FACE OFF เพื่อบริการรักษาพยาบาล จำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานจองคิวผ่าตัดของโครงการ
และทำหน้าที่ดูแลเว็บไชต์และโฆษณาสื่อออนไลน์ช่องทางต่างๆ ของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชนเพื่อศัลยกรรมตกแต่งความงามชื่อโรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมล โดยเป็น นายจ้างและหรือผู้ว่าจ้างของจำเลยที่ 1,2 เเละ4 หรือเป็นตัวแทนของ จำเลยที่ ที่ 1,2 เเละ4 จำเลยที่ 4 เป็นศัลยแพทย์ตกแต่งผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ผ่าตัดโจทก์
เมื่อช่วงประมาณ 4 ปีที่แล้ว โจทก์ฉีดสารแปลกปลอมเข้าใบหน้าหรือสารไบโอ (ซิลิโคนเหลว) ทำให้ใบหน้า ของโจทก์ผิดรูป โจทก์ต้องการนำสารไบโอ (ซิลิโคนเหลว) ออกจากใบหน้าแต่ไม่มีโรงพยาบาลใดรักษา ช่วงต้นปี 2561 โจทก์ดูคลิปวิดีโอโครงการเฟซอฟของจำเลยที่ 1แล้วจึงจึงส่งข้อความไปยังเฟซบุ๊กของโครงการเฟซออฟโดยด็อกเตอร์เซปิงเพื่อสอบถามเรื่องการนำสารไบโอ(ซิลิโคนเหลว) ออกจากหน้าของโจทก์
เลขานุการของน.ส.เซปิง จำเลยที่ 1 แจ้งว่าสามารถนำสารไบโอ(ชิลิโคนเหลว) ออกได้ ต่อมาโจทก์ปรึกษาจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการนำสารไบโอ (ซิลิโคนเหลว)ออก จำเลยที่แจ้งว่าสามารถนำออกได้แน่นอนพร้อมเสนอให้ทำศัลยกรรมดึงหน้า
โจทก์สนใจจึงเข้าโครงการของจำเลยที่1 ซึ่งจัดโปรโมชั่นจากราคา 999,000บาทลดเหลือ 250,000 บาท แต่ต้องโอนเงินค่าจองคิวเป็นเงิน 50,000 บาท โจทก์จึงโอนเงินไป วันที่ 15 มี.ค.2561 โจทก์เดินทางไปที่โครงการเฟซออฟและชำระเงินส่วนที่เหลือ 200,000 บาท รวมทั้งค่าตรวจสุขภาพอีก 15,000 บาท พร้อมให้ข้อมูลคนไข้ ระบุชื่อและนามสกุลรายการผ่าตัด 3 รายการ คือ ค่าดึงหน้า 3 ส่วน ค่าดึงคอ และค่าดูดชิลิโคนเหลวหลังจากนั้นโครงการเฟซออฟพาโจทก์ไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลของจำเลยที่ 3 เพื่อตรวจร่างกาย ระหว่างที่รออยู่ที่ห้องพักจำเลยที่ 1 มาพบและพูดคุย โจทก์แจ้งว่าต้องการเอาสารไบโอ (ซิลิโคนเหลว) ออกเท่านั้น แต่จำเลยที่ 1 แจ้งว่าหากไม่ดึงหน้าโรงพยาบาลก็ไม่คืนเงิน โจทก์จึงจำยอมทำศัลยกรรมเพิ่มอีก 3 รายการ คือ ค่าดึงคอ 120,000บาท ค่าเอาซิลโคนเหลวออก 80,000 บาท และค่าฉีดไขมันเพิ่ม
120,000 บาท รวมเป็นเงิน 320,000บาท โจทก์แจ้งว่าไม่มีเงิน จำเลยที่ 1 เสนอว่าจะออกเงินให้ก่อนแล้วให้ผ่อนชำระคืน
ต่อมาวันที่ 21 มี.ค.2561 โจทก์เดินทางไปที่โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลเพื่อผ่าตัดพบจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 4ไม่ได้อธิบายถึงผลข้างเคียงต่าง ๆ หลังการผ่าตัดให้โจทก์ทราบ หลังจากผ่าตัดประมาณ1 สัปดาห์
โจทก์มีอาการบวมซ้ำเขียวที่แผลผ่าตัดเกินกว่าหนึ่งเดือนไม่ตรงตามที่โครงการเฟซอฟของโฆษณาว่า ไม่เขียว ไม่ซ้ำ ไร้รอยแผลเป็น ต่อมาประมาณ 3 เดือน โจทก์เห็นว่าใบหน้าไม่ดีขึ้นโดยยังเป็นคลื่นเหมือนก่อนผ่าตัดไบโอที่หน้าแข็งเหมือนเดิมมีริ้วรอยเหี่ยวย่น เจ็บจี๊ด ๆ ที่ใบหน้าบางครั้งหน้ามืดบ่อยครั้งต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพชรรัตน์และโรงพยาบาลทรวงอกจากการผ่าตัดของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นแพทย์ของจำเลยที่ 3และการผ่าตัดเป็นเหตุให้ใบหน้าผิดรูป ทำให้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการเติมไขมันที่ใบหน้าของโจทก์
การกระทำของจำเลยทั้ง 4 ทำให้โจทก์หลงเชื่อเสียเสรีภาพ สุขภาพอนามัย มีแผลเป็นน่าเกลียดใบหน้าผิดรูป มีแผลเป็นที่ลำคอต้องอับอายหลังผ่าตัด และหลอกลวงประชาชนว่าไร้รอยแผลเป็นไม่เจ็บไม่บวม เป็นการบรรยายสรรพคุณเกินจริงทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นค่าผ่าตัดศัลยกรรมเป็นเงิน 265,000 บาท ค่ารักษาเติมไขมันใบหน้าเป็นเงิน 27,000 บาทค่าเดินทางไปรักษาอาการข้างเคียงเป็นเงิน 10,000 บาท ค่ารักษาในอนาคตเป็นเงิน1,000,000 บาท ค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้ระหว่างผ่าตัดเป็นเงิน 900,000 บาท ค่าทนทุกข์ทรมานทางจิตใจที่ใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูปและมีแผลเป็นถาวรเป็นเงิน 1,000,000 บาท ค่าทนทุกข์ทรมานทางร่างกายที่มีอาการปวดหลังผ่าตัดเป็นเงิน 1,000,000 บาท และค่าเสียเสรีภาพที่ถูกบังคับให้ผ้าตัดเป็นเงิน 1,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 5,202,000บาท ขอให้จำเลยทั้ง4 ร่วมกันชดใช้ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง กับให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดจากจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาล
กำหนดให้เพื่อป้องปรามมิให้เกิดกรณีเช่นนี้อีกจำเลยปฏิเสธสู้คดี
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต่อมา โจทก์ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้น.ส.เซปิง จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายที่มีการปรับเปลี่ยน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์เเละน.ส.เซปิง จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกา โดยศาลฎีกาเเผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ล่าสุดศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ให้บริษัทเอ็ม เอฟ เซอร์เจอรี่ เซ็นเตอร์ จำกัด จำเลยที่ 3 ร่วมกับ น.ส.เซปิง จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ด้วย เนื่องจากพยานหลักฐานเห็นว่า บริษัทเอ็ม เอฟ เซอร์เจอรี่ เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 มีส่วนร่วมในการโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการเฟซออฟของน.ส.เซปิง จำเลยที่ 1 เเละมีผลประโยชน์ร่วมกันในโครงการในลักษณะหุ้นส่วนจึงต้องร่วมรับผิด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ด้านนายสาธร ช่วยโสภา ทนายโจทก์กล่าวว่า ตนรู้สึกเห็นใจโจทก์เป็นอย่างยิ่ง เพราะโจทก์ถูกทางโครงการฯ เรียกเก็บเงินเป็นจำนวนมาก หลังผ่าตัดก็มีแผลเป็น และยังต้องมีคดีความถูกโครงการฟ้องเรียกให้ชำระหนี้จากการผ่าตัดศัลยกรรมอยู่ที่ศาลจังหวัดเพชรบุรี ทั้งที่โครงการไม่ใช่คนผ่าตัด และไม่ใช่สถานพยาบาล แต่มีเงินได้ที่ชัดเจน จึงขอแนะนำเป็นอุทําหรณ์ให้ผู้สนใจการทำศัลยกรรมแนะนำให้ติดต่อโรงพยาบาลหรือปรึกษาหมอโดยตรงดีที่สุด