ผบช.ไซเบอร์แถลงปฏิบัติการค้น 7 จุด หนึ่งในเป้าเป้าหมายสำคัญเป็นบ้านหรูกลางกรุง มูลค่ากว่า 30 ล้าน ของลูกสาว “ก๊กอาน” คาดว่าไม่ได้อยู่ในประเทศแล้ว
วันนี้ (15 ก.ค.) ที่ กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนตำรวจอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2 พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด รอง ผบก.สอท.1 พ.ต.อ.คมสันต์ กันหา ผกก.4 บก.สอท.1 พ.ต.อ.มนต์ชัย บุญเลิศ ผกก.2 บก.สอท.2 พ.ต.ท.พรชัย บัวด้วง รอง ผกก.4 บก.สอท.1 แถลงผลเจ้าหน้าที่ สอท. สนธิกำลังเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) เปิดปฏิบัติการตรวจค้นเป้าหมาย 7 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ 5 จุด และ จ.สระแก้ว 2 จุด เพื่อติดตามจับกุมผู้กระทำผิดตามหมายจับและตรวจหาพยานหลักฐานเครือข่ายนายก๊ก อาน นักธุรกิจชาวกัมพูชา คนใกล้ชิดสมเด็จฮุน เซน
โดยตำรวจได้นำหมายค้นศาลอาญาที่ 568/2568 ค้นบ้านหรู 3 ชั้น ภายในซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 15 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ มูลค่ากว่า 30 ล้าน ซึ่งเป็นบ้านของ น.ส.ภูเฌอหลิน คล่องกิจกล อายุ 46 ปี ลูกคนที่สองของนายก๊กอาน บ้านเป้าหมายสำคัญ พร้อมตรวจยึดคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือหลักฐานอื่นๆ ของ น.ส.ภูเฌอหลิน ซึ่งจะเป็นพยานหลักฐานประกอบการสอบสวนไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา ซึ่งมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยผิดกฎหมาย หรือได้ใช้ หรือตั้งใจจะใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 4079/2568 ลงวันที่ 14 ก.ค.2568 ในความผิดฐาน “มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ”
เมื่อไปถึงพบว่าบ้านปิดล็อกไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ภายในบ้าน โดยตำรวจได้ประสานให้สาวพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นคนรับจ้างดูแลลูกของ น.ส.ภูเฌอหลิน มาเป็นพยานและนำพาเข้าตรวจค้น เบื้องต้นให้การว่า น.ส.ภูเฌอหลิน ได้เข้ามาพักอาศัยที่บ้านดังกล่าวบ้างเป็นครั้งคราว โดยเข้ามาพักครั้งสุดท้ายนานราว 1 เดือน ซึ่งแจ้งว่าไปทำธุรกิจที่ประเทศสิงคโปร์
ผลจากการตรวจค้น บนชั้นสองพบตู้เซฟ 6 ใบ ส่วนบนชั้นสามพบตู้เซฟ 3 ใบ สามารถเปิดตรวจสอบได้ 2 ใบ มีเพียงสมุดกรมธรรม์ประกันชีวิต 2 ฉบับ ส่วนที่เหลืออีก 7 ใบ ทางตำรวจทำการตรวจอายัดไว้เพื่อรอการตรวจสอบว่ามีทรัพย์สินหรือพยานหลักฐานอื่นหรือไม่ นอกจากนี้ผลการตรวจค้นในจุดพื้นที่ จ.สระแก้ว สามารถตรวจยึดตู้เซฟได้อีก 1 ใบ รวมที่ทำการตรวจยึดทั้งหมด 8 ใบ
ในปฏิบัติการครั้งนี้ตำรวจไซเบอร์ ได้รวบรวมพยานหลักฐานขยายผลเพื่อยื่นขอศาลอาญา พิจารณาออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องก่ออาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพิ่มเติมอีก 6 คน โดยมีผู้ต้องหาที่เป็นระดับตัวการสำคัญที่ศาลอาญาออกหมายจับ 3 ราย ซึ่งเป็นลูกของนายก๊กอาน ประกอบด้วย น.ส.จุรี หรือเชอรี่ คล่องกิจกล อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาหมายจับที่ 4075/2568 ลงวันที่ 14 ก.ค.2568 น.ส.ภูเฌอหลิน คล่องกิจกล อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับที่ 4079/2568 ลงวันที่ 14 ก.ค.2568 และนายกิตติศักดิ์ คล่องกิจกล อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับที่ 4080/2568 ลงวันที่ 14 ก.ค.2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดข้อหา “มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ”
ส่วนผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับอีก 3 รายเป็นคนไทย 2 ราย ประกอบด้วยนางอัมพร สมบูรณ์ อายุ 48 ปี ชาว จ.สระแก้ว ผู้ต้องหาตามหมายจับ ที่ 4077/2568 ลงวันที่ 14 ก.ค. 2568 น.ส.วรรณนิดา คงนาค อายุ 35 ปี ชาว จ.สระแก้ว ผู้ต้องหาตามหมายจับ ที่ 4078/2568 ลงวันที่ 14 ก.ค. 2568 และเป็นคนชาวกัมพูชาอีก 1 ราย ในความผิดเดียวกัน โดยทั้ง 3 คน เป็นบุคคลใกล้ชิดกับ น.ส.จุรี ที่ทำหน้าที่บริหารการเงินให้กับ น.ส.จุรี ภายในตึก 25 ชั้น ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้เก็บค่าเช่าและส่วนแบ่งผลประโยชน์จากชาวจีนที่มาเช่าอาคารเปิดออฟฟิศคอลเซ็นเตอร์หลอกคนไทย โดยตำรวจอยู่ระหว่างการติดตามตัวผู้กระทำผิดทั้งหมดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยังเปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีเข้าค้นเพิ่มเติม 7 จุดที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายนายก๊ก อาน ว่า ในวันนี้มีการขอศาลออกหมายค้นจำนวน 7 จุด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจค้นยังไม่เสร็จสิ้น เบื้องต้นไม่พบบุคคลตามหมายจับทั้ง 6 คน พบเพียงผู้ดูแลบ้านที่กันไว้เป็นพยาน ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดหกคนคาดว่าไม่ได้อยู่ในประเทศแล้ว โดยจากการตรวจค้นในครั้งนี้จะมีการตรวจสอบอายัดทรัพย์สินทั้งหมด หลังจากที่แล้วสามารถยึดอายัดทรัพย์ได้ทั้งหมดกว่า 1,100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นไปโดยที่เครือข่ายผู้ต้องหาไม่รู้ตัว เพื่อป้องกันไม่ให้มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกนอกประเทศ ซึ่งเป้าหมายที่ต้องการคือยึดทรัพย์สินทั้งหมดมาเพื่อเฉลี่ยทรัพย์สินคืนให้กับเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และทำให้โลกรู้ว่าประเทศไทยมีการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง เพราะว่าเครือข่ายดังกล่าว มีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตึก 25 ชั้น ตึก 18 ชั้น ตึกไฮโซ และกลุ่มกาสิโนทั้งหมด ส่วนเรื่องการตรวจสอบบัตรประชาชนของน.ส.จุรี หรือเชอร์รี่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานกระทรวงมหาดไทยตรวจสอบข้อเท็จจริง
ด้าน พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 กล่าวทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าผู้ต้องหาจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ จะอยู่ในไทยหรือต่างประเทศ ก็จะดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยทางตำรวจไซเบอร์จะดำเนินการยึดอายัดทรัพย์ของผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดทั้งหมดเช่นกัน