ศาลฎีกาไต่สวนหมอ รพ.ราชทัณฑ์ พร้อมพยาบาลเรือนจำ 5 ปาก ตรวจ "ทักษิณ" ก่อนส่งตัวกลางดึกไป รพ.ตำรวจ ด้านพยาบาลเบิกความ "ทักษิณ" บอกแน่นหน้าอกตอน 4 ทุ่ม จึงแจ้งแพทย์เวรและมีความเห็นส่ง รพ.ตำรวจโดยใช้เวลา 2 ชม. ศาลนัดเพิ่ม 18 ก.ค.เรียก 2 แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจเข้าไต่สวน พร้อมสั่งเข้มงวดห้ามเผยแพร่คำเบิกความโดยละเอียด ด้าน "หมอวรงค์" ชี้ 3 ประเด็นน่าสังเกต
วันนี้ (4 ก.ค.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ภายหลังศาลนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีถูกศาลพิพากษาจำคุกแต่ได้มีการส่งตัวนายทักษิณไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ในวันนี้ศาลไต่พยานฝ่ายผู้ร้องจำนวน 5 ปาก โดยเป็นบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งทำการตรวจรักษานายทักษิณ โดยพยานปากแรกคือ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ระบุว่า ได้รับมอบหมายให้ตรวจร่างกายนายทักษิณซึ่งเป็นผู้ต้องขังรับใหม่ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในเวลาประมาณ 11.00 น. โดยนายทักษิณมีประวัติการรักษาจากต่างประเทศ ซึ่งนายทักษิณแจ้งว่ามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียจากการเดินขึ้นบันไดมา ส่วนที่อนุญาตให้ส่งตัวนายทักษิณไปยังโรงพยาบาลภายนอก เพราะพยาบาลแจ้งอาการป่วยซึ่งเชื่อมั่นในพยาบาลที่อยู่ใกล้ชิดผู้ต้องขัง อีกทั้งโรคที่เป็นโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีเครื่องมือและแพทย์เฉพาะทาง จึงให้ความเห็นส่งไปรักษานอกเรือนจำ
ส่วนกรณีใบส่งตัวเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนโดยใบนำส่งตัวจะเขียนกรณีที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีศักยภาพรักษาแต่จะให้ส่งตัวเวลาราชการและไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นวันไหน และไม่ได้เป็นผู้บอกว่าจะต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลตำรวจเพราะไม่ทราบว่าโรงพยาบาลไหนจะสามารถรับตัวผู้ป่วยได้ โดยได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลัก
นพ.นทพร ปิยะสิน แพทย์เวรประจำวัน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เบิกความว่าตนเป็นแพทย์นอกเวลาและไม่ได้ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ช่วงวันที่ 22 ส.ค. ตนเข้าเวร 16.30 น. ถึง 08.30 น.ของอีกวัน ปรากฎว่าวันดังกล่าวมีพยาบาลโทรมาแจ้งอาการของนายทักษิณ จึงให้ความเห็นไปว่า เมื่อวินิจฉัยประกอบกับประวัติการรักษาจากต่างประเทศแล้ว มีอาการจากโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ จึงเห็นควรปรึกษาแพทย์คนแรกที่ตรวจร่างกายนายทักษิณเมื่อตอนที่รับเข้าเรือนจำ และส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอก หากไม่ได้นำส่งจะมีความเสี่ยงกับตัวผู้ป่วย อีกทั้งโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพไม่พอ รวมทั้งเงื่อนไขของเวลา โดยพิจารณาความเห็นจากพยาบาลที่โทรเข้ามาเพียงอย่างเดียวและตนก็ไม่ทราบว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครอยู่บริเวณไหน ยืนยันว่าตนมีหน้าที่ให้ความเห็นทางการแพทย์เท่านั้น ส่วนการส่งตัวออกไปรักษาภายนอกเป็นหน้าที่ของเรือนจำ
ด้านพยานปากที่ 3 นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลวิชาชีพประจำโรงพยาบาลศรีสังวาลย์ จังหวัดสุโขทัย เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุตนเป็นพยาบาลที่สถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ทำหน้าที่ตั้งแต่ 08.00-16.30 น. และอยู่เวรต่อเนื่องจนถึงเวลา 08.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ซึ่งตนได้รับมอบหมายให้ดูแลผู้ต้องขังภายในสถานพยาบาลรวมถึงนายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังใหม่ในกลุ่ม 608 และนายทักษิณได้ถูกควบคุมตัวที่ห้องกักโรค ซึ่งแพทย์สั่งให้ติดตามอาการทุก 4 ชั่วโมง ในตอนนั้นนายทักษิณอยู่ในห้องเพียงคนเดียวและได้เปลี่ยนชุดเป็นชุดนักโทษแล้ว ต่อมาเวลา 22.00 น. นายทักษิณแจ้งว่ามีอาการแน่นหน้าอก จึงแจ้งไปยังแพทย์เวรโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่มีความเห็นว่าเห็นควรส่งไปโรงพยาบาลภายนอก เนื่องจากรู้ว่าศักยภาพของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่พอ และโทรไปหา พญ.รวมทิพย์ เพื่อขออนุญาตใช้ใบส่งตัว ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลา 2 ชั่วโมงและแจ้งขออนุญาตให้ส่งตัวนายทักษิณ โดยไปขึ้นรถพยาบาลของเรือนจำโดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที
เมื่อถึงโรงพยาบาลตำรวจมีเจ้าหน้าที่มารับ ไม่ทราบว่านำนายทักษิณไปยังห้องฉุกเฉินหรือไม่ ส่วนตนไปเปิดเวชระเบียน และได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ให้นำเวชระเบียนขึ้นไปให้พยาบาลที่ชั้น 14 จึงทราบว่า นายทักษิณอยู่ที่นั่นแล้วแต่ไม่ทราบว่าอยู่ห้องไหนแต่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เฝ้าอยู่ และทั้งนี้จากประสบการณ์ทำงานถ้าเป็นโรคเฉพาะทางที่ราชทัณฑ์ไม่มีศักยภาพในการรักษาจะส่งตัวออกไปรักษาโรงพยาบาลภายนอก ส่วนที่ไม่ส่งไปยังโรงพยาบาลราชทัณฑ์แม้จะห่างกันไม่มากเกรงว่าหากไปส่งอาจจะทำให้เสียเวลามากขึ้น ทั้งนี้ตนได้ปรึกษาแพทย์เวรกลางคืนแล้วและให้ความเห็นว่าควรส่งตัวไปรักษาภายนอก จึงประสานส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งปกติเรือนจำจะส่งไปที่ รพ.ตำรวจก่อน เนื่องจากได้ทำ MOU ไว้
ส่วนพยานอีก 2 ปาก เป็นเพียงพยาบาลที่ได้รับการติดต่อให้เข้ามาช่วยเหลือในการตรวจร่างกายแต่สุดท้ายแพทย์ไม่ได้เรียกตัวเข้าไปช่วยเหลือแต่อย่างใด โดยอยู่ภายนอกห้องขณะแพทย์ตรวจร่างกายนายทักษิณ ชินวัตร
ภายหลังพยานเบิกความเสร็จแล้ว ศาลได้อ่านกระบวนพิจารณาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวันนี้นัดไต่สวน คดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 อัยการสูงสุดและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ และทนายจำเลย มาศาล ส่วนจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลไม่มาฟังการพิจารณา ศาลไต่สวนพยานได้ 5 ปาก ให้เลื่อนไปไต่สวนในวันที่ 8 ก.ค. เวลา 09.00 น. ตามที่นัดไว้เดิม
อนึ่ง มีการนำข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของพยานซึ่งศาลไต่สวนในนัดก่อนออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนในลักษณะคำต่อคำผ่านสื่อช่องทางต่างๆ ซึ่งอาจทำให้พยานบุคคลที่จะมาเบิกความในลำดับถัดไปทราบข้อเท็จจริงที่พยานคนก่อนได้เบิกความไว้ และอาจทำให้ศาลไต่สวนแล้วได้ข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ รวมถึงอาจมีการนำคำเบิกความของพยานดังกล่าวไปวิเคราะห์หรือให้ความเห็นในทางคดีจนก่อให้เกิดความสับสนแก่สังคมได้ ประกอบกับข้อมูลด้านสุขภาพของจำเลยเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ศาลให้คู่ความและผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีงดเว้นการเผยแพร่โฆษณาคำเบิกความพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ศาลไต่สวน และศาลได้นัดเพิ่มในวันที่ 18 ก.ค.จะเป็นแพทย์ใหญ่และแพทย์เจ้าของไข้จากโรงพยาบาลตำรวจ 2 คน ได้แก่ พล.ต.ต.นพ.ศุภฤกษ์ (สงวนนามสกุล) และ พล.ต.ท.นพ.สุรพล (สงวนนามสกุล) เข้ามาเบิกความ และวันที่ 25 เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคของจำเลย
ทั้งนี้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้ยื่นคำชี้แจง 307 แผ่น แพทยสภาส่งมติที่ประชุม 113 หน้า และผลตรวจสอบแพทย์ 1,190 หน้า กสม.20 แผ่น จำเลยยื่นคำชี้แจง 55 แผ่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพยื่นเอกสารเบิกค่าเวร 77 แผ่น ทนายจำเลยส่งประวัติการรักษาไว้พิจารณา และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจส่งหลักฐานค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และค่ารักษาพยาบาลของจำเลยไว้พิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 8 ก.ค. เวลา 9.00น. ตามที่นัดไว้เดิม คือ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ ส่วนในวันที่ 15 ก.ค.เป็นผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ และอดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์
ขณะที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ เปิดเผยว่าของดให้รายละเอียดเกี่ยวกับการไต่สวนพยาน เนื่องจากศาลกำชับไว้ว่าคำเบิกความ ข้อเท็จจริงข้อมูลส่วนบุคคล หรือข้อมูลสุขภาพของจำเลย ขอให้งดเว้นเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยการนัดไต่สวนพยานทั้ง 5 ปากในวันนี้เรียบร้อยหมดแล้ว มีการไต่สวนประกอบเอกสารหลายส่วน และมีหมายเรียกพยานเพิ่มอีก 2 ปากในวันที่ 25 ก.ค.68 นอกจากนี้ยังจะมีการนัดไต่สวนพยานในวันที่ 8, 15, 18 และ 25 ก.ค.2568 ด้วย
นายวิญญัติ ยอมรับว่าตนเองเป็นคนยื่นให้ศาลออกข้อกำหนดนี้ เนื่องจากครั้งที่แล้วมีการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และบุคคลต่าง ๆ นำข้อมูลการไต่สวนของศาลไปวิเคราะห์หรือแสดงความคิดเห็นในที่ต่าง ๆ ทั้งที่คดียังอยู่ระหว่างการไต่สวน เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเอาไปวิเคราะห์ให้เกิดความสับสน ศาลจึงมีคำสั่งให้งดเว้นการนำเสนอในลักษณะนี้
ด้านนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม กล่าวว่า ในภาพรวมของการไต่สวนวันนี้ มี 3 ประเด็นที่น่าสนใจ ประเด็นแรกคือ ทำให้ได้เห็นความเชื่อมโยงในการดำเนินการส่งตัวนายทักษิณว่า เป็นการดำเนินการของพยาบาลเวรเป็นหลัก ที่ประสานงาน เลือกโรงพยาบาลตำรวจ โดยที่แพทย์เวรเองก็ไม่ทราบเรื่อง
ประเด็นที่ 2 คือเรื่องระยะเวลาในการส่งตัวนายทักษิณไปที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงศาลก็มีคำถามว่าเหตุใดจึงไม่ส่งไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งอยู่ใกล้กว่าเพียงแค่ 200 เมตรหากมีอันตรายใดๆ ระหว่างการส่งตัวจะทำอย่างไร
และประเด็นที่ 3 ศาลได้ถามว่า ทราบหรือไม่ว่านักโทษรายนี้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี หากปล่อยเวลา 2 ชั่วโมงนี้ไว้ ทั้งที่มีอาการเจ็บหน้าอก หายใจหอบ แล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะเป็นอย่างไร
ด้านนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้ศาลมีคำสั่งว่า ห้ามไม่ให้นำข้อเท็จจริงการเบิกความ และการไต่สวนออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนในลักษณะคำต่อคำ เพราะอาจจะทำให้การไต่สวนข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดความสับสนต่อสังคม ประกอบกับเป็นข้อมูลด้านสุขภาพ ที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ศาลจึงขอให้คู่ความและผู้เข้าฟัง งดเว้นการเผยแพร่คำเบิกความพยานบุคคล และพยานเอกสารที่ศาลไต่สวน
สำหรับการไต่สวนในวันนี้ ซึ่งเป็นของกลุ่มแพทย์ พยาบาล พัศดีที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่ดูแลรักษาและตรวจโรคนายทักษิณ โดยศาลได้ไล่รายละเอียด จนได้ความยุติเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งต้องขอบคุณกระบวนการยุติธรรมของศาลที่ทำอย่างเปิดเผยให้ความจริงปรากฏ ให้ได้เห็นความจริงชัดเจนหลายเรื่องที่ไม่เคยได้ทราบ และคาดว่าในการไต่สวนนัดต่อๆไป ก็จะได้ความชัดเจนมากขึ้น