ตำรวจ ปอศ. ร่วมกับสรรพากร ลุยค้นเป้าหมาย 14 จุด ทลายเครือข่ายโกงภาษีข้ามชาติ ทำรัฐเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท
วันนี้ (30 มิ.ย.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อเวลา 11.00 น. พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชวนาศัย รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.นฤพนธ์ กรุณา ผกก.2 บก.ปอศ. พ.ต.ท.วันเผด็จ จันยะรมณ์ รอง ผกก.2 บก.ปอศ. พร้อมด้วย นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร, น.ส.สลักจิต พงษ์ศิริจันทร์ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกรรมทางการเงินการธนาคาร, นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) และ น.ส.เอื้อมเดือน สุขะวัลลิ ผู้อำนวยการกองตรวจสอบภาษีกลาง ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการทลายเครือข่ายโกงภาษี สร้างความเสียหายแก่รัฐกว่า 1,000 ล้านบาท
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 14 จุด แบ่งเป็น ในพื้นที่ จ.ตาก 11 จุด, จ.เชียงใหม่ 2 จุด และ กทม. 1 จุด ก่อนจับกุม นายสำราญ อายุ 63 ปี หัวหน้าขบวนการใหญ่ และ พวกรวม 10 ราย ในความผิดฐาน “ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิจะออก , ร่วมกันเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มหรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใด ๆ ด้วยความเท็จ และ “เจตนานำใบกำกับภาษีปลอมหรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วย ไปใช้ในการเครดิตภาษี” พร้อมตรวจยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจำนวนมาก อาทิ เอกสารกว่า 100,000 ฉบับ, โทรศัพท์มือถือ 20 เครื่อง และคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีก 30 เครื่อง
พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ กล่าวว่า สืบเนื่องจากได้รับเรื่องร้องทุกข์จาก กรมสรรพากร ว่า นายสำราญ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหา ได้จัดตั้งบริษัท เอส แอนด์ เอ็ม บราเธอร์ฮู้ด จำกัด ประกอบกิจการนำเข้าส่งออกสินค้า แต่กลับนำบุคคลในครอบครัว ญาติพี่น้อง พนักงานลูกจ้าง รวมถึงเพื่อนและคนรู้จัก มาจัดตั้งร้านค้าและบริษัทที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกว่า 20 แห่ง แล้วแสร้งทำทีว่ามีการซื้อขายสินค้าระหว่างกันเป็นทอด ๆ โดยไม่มีการซื้อขายสินค้าจริง มีการออกใบกำกับภาษีระหว่างร้านค้าและบริษัทในเครือข่ายลักษณะหมุนเวียนไปมา เพื่อปั่นราคาสินค้าให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ กล่าวต่อว่าสุดท้าย บริษัท เอส แอนด์ เอ็ม บราเธอร์ฮู้ดฯ ซึ่งจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการส่งออก จะทำการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการในกลุ่มเครือข่ายทอดสุดท้ายในราคาสูงเกินจริง พร้อมกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น แล้วส่งออกสินค้าชนิดเดียวกันนี้ไปยังประเทศเมียนมา โดยมีลูกค้าฝั่งเมียนมาเป็นคนในเครือข่ายเช่นกัน เพื่อสร้างหลักฐานการส่งออกสินค้าสำหรับใช้ในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) จากกรมสรรพากร โดยสินค้าที่กลุ่มผู้ต้องหาส่งออกเป็นประเภทเครื่องอุปโภคบริโภค ซึ่งไม่มีการคิดอัตราอากรขาออกและไม่ถูกจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้ผู้ประกอบการส่งออกสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) ตามยอดภาษีซื้อในแต่ละเดือนได้ เครือข่ายนี้จึงใช้ช่องโหว่ดังกล่าว สร้างการซื้อขายปลอมเพื่อปั่นราคาสินค้าให้สูงเกินจริง และขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากรในจำนวนที่สูง
พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบของกรมสรรพากรพบว่าตั้งแต่ปี 2564 - 2565 กลุ่มเครือข่ายนี้ได้ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร กว่า 150 ล้านบาท และจากการประเมินภาษีพบว่า มีมูลค่าความเสียหายจากการกระทำความผิดของเครือข่ายทั้งหมดรวมเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท หลังปรากฎหลักฐานการกระทำผิดแน่ชัด เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 14 จุด จนนำมาสู่การตามจับกุม นายสำราญ และ พวก รวม 10 ราย ได้ดังกล่าว ทั้งนี้จากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาบางรายให้การรับสารภาพ ขณะที่บางรายให้การปฏิเสธ จึงนำตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป