xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอาญายกฟ้อง "บิ๊กอ๊อด" ฟ้องหมิ่น "สนธิ ลิ้มทองกุล" พูดพาดพิงในรายการสนธิทอล์ก ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


นายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
ศาลอาญายกฟ้องคดี "บิ๊กอ๊อด" ฟ้องหมิ่น "สนธิ ลิ้มทองกุล" พาดพิงในรายการสนธิทอล์ก ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต ด้านเจ้าตัวระบุสู้คดีด้วยหลักฐานและความจริง พร้อมยืนยันไปขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 28 มิ.ย.นี้แน่นอน



เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (24 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีอ.2708/2566 ที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.และนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นโจทก์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และบริษัทผู้จัดการ 360 องศา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาและนำข้อความเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เรียกค่าเสียหาย จำนวน 50 ล้านบาท

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายสนธิ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของช่องยูทูป และรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ รายการ Sonthi Talk โดยเมื่อวันที่ 6-7 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา นายสนธิ ได้พูดในรายการ Sonthi Talk พาดพิงให้เกิดความเสียหายด้วยข้อความว่า “จริงๆแล้วสมาคมฟุตบอลไทยนั้นทำงานเละเทะมานานแล้ว ตั้งแต่คุณสมยศขึ้นมาเป็นนายกสมาคม...” และข้อความ “คุณไม่รู้หรอกว่าชีวิตคุณเนี่ย ตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คุณได้สร้างวีรกรรมมาเยอะไปหมดเลย หลายอย่าง ไม่ว่าเป็นคดีบอส อยู่วิทยาโน่นนี่นั่น ซึ่งผมได้เคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแฟนบอลไทยก็ต้องดีใจเก้อ เพราะล่าสุดประชุมสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งคนของคุณสมยศทั้งนั้น นี่ต้องยืนยันเป็นคนของคุณสมยศทั้งนั้น มีมติเป็นเอกฉันท์ยับยั้งการลาออก ให้ทำหน้าที่ไปจนครบวาระ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 โดยอ้างตามเกมที่คุณสมยศวางหมากไว้ว่า ไม่ให้ไทยต้องเสี่ยงการโดนฟีฟ่าลงดาบ ซึ่งจะถูกห้ามยุ่งกับการแข่งขันระดับนานาชาติทั้งหมด รวมทั้งกิจกรรมของฟีฟ่าประเด็นครับ ในวันลงมติมีคนในที่ประชุมกระซิบผมมาว่าก่อนลงมติบอร์ดสภากรรมการวงแตก หลายคน WORK OUT ขอลาออกรับไม่ได้ที่มีคนชงมติไว้ให้คุณสมยศอยู่ต่อ คนที่ชงมติไว้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็พี่นวยของผมนั่นเองอดีตมิตรตำรวจด้วยกันคือ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน…” ข้อความต่อมา “ท่านผู้ชมอย่าลืมนะว่าคนคนนี้เป็นคนที่พูดว่า อาชีพตำรวจถือว่าเป็นไซต์ไลน์ อาชีพหลักๆ คือเป็นนักธุรกิจ คุณสมยศคือเสี่ยงิ้วราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในปี 2558... ยังมีอีกประเด็นหนึ่งไปยืมเงินเสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าพ่ออาบอบนวด ซึ่งต้องคดีค้ามนุษย์ถึงสี่ครั้ง ไปยืมมา 300 ล้านบาท จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ในช่วงนั้น สมยศระบุมาตลอดชีวิตรับราชการเกือบจะเรียกได้ว่า อาชีพตำรวจเป็นไซต์ไลน์ แต่หลักๆ แล้วเค้าทำเรื่องหุ้น พฤศจิกายน 2564 สองปีที่แล้ว กฤษฎีกาตีความว่า พล.ต.อ.สมยศ ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลโดยมิชอบ เพราะตำแหน่งรวมทั้งกรรมการสมาคมฟุตบอล เป็นงานอาสา งานเสียสละไม่ใช่งานลูกจ้าง จึงไม่สามารถเรียกรับเงินค่าตอบแทนได้แม้แต่บาทเดียว...พอเป็นข่าวก็ออกมาชี้แจง รับเงินเดือนจริงแต่บริจาคกลับไปที่สมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเด็นนี้คือว่ามันผิดกฎหมาย คุณจะบริจาคให้ใครไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งเงินเดือนคุณเอง เพราะงานนี้เป็นงานที่เสียสละ”


นอกจากนี้ข้อความ “ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์สมาคมฟุตบอล มีบริษัทหนึ่งชนะการประมูลจนได้เข้ามาดูแลนั้น บริษัทดังกล่าว แวดวงในบอกว่าเป็นลูกรักของบิ๊กอ็อด ที่เข้ามาอุ้มชู ปลุกปั้นมาตั้งแต่สมัยเป็นตำรวจ หลายฝ่ายจึงมองว่าการประมูลในครั้งนี้มีการเอื้อประโยชน์แก่กัน ดูตัวอย่าง ตัวอย่างหนึ่ง เราย้อนกลับไปปี 2563 ได้บริษัทเซ้นส์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่ไม่มีประสบการในการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับกีฬามาก่อน แต่ดันชนะการประมูล ถือครองลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก มูลค่า 12,000 ล้านบาท ตกปีละ 1,500 ล้านบาท สุดท้ายไปไม่รอด ผู้บริหารขาดทุนแบบย่อยยับ ต้องเปลี่ยนผู้ถือครองมาเป็น AIS ทำให้มูลค่าลิขสิทธิ์ตกลงมาเกือบ 4 เท่า เหลือแค่ 400 ล้านบาท ตัดภาพมาตอนปัจจุบันเลย ในเรื่องดราม่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลไทย ที่มีข่าวว่ามูลค่าลดฮวบ จาก 1,000 ล้านบาท เหลือเพียง 50 ล้านบาท ถ้าเราย้อนอดีตไป ลิขสิทธิ์บอลไทยเคยมีรายได้อู้ฟู่ โดยที่กระฉูดที่สุดในช่วงปี 2560-2563 ที่ทรูวิชั่น ประมูลค่าลิขสิทธิ์ 4,200 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 60 900 ล้านบาท 61 1,000 ล้านบาท 62 1,100 ล้านบาท 63 1,200 ล้านบาท ในช่วงปี 2563 มีปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดโรคโควิด ทรูวิชั่นก็ไม่มี ไม่สามารถจะจ่ายเต็มจำนวนได้ ฤดูกาล 2564-65 ค่าลิขสิทธิ์จาก AIS ก็ลดลงเหลือ 800 ล้านบาท ผ่านมาถึงฤดูกาล 2565-66 มีรายงานว่าเหลือแค่ราวๆ 300 ล้านบาท”และข้อความอื่น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ๆทั้งนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อันมีข้อความหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์โดยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แก้ไข ฉบับที่ 2 มาตรา 16 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,332,393, 91 เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร

โดยช่วงเช้าวันนี้ นายสนธิ จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมน.ส.อัจฉรา แสงขาว ทนายความ ส่วนโจทก์มีผู้รับมอบอำนาจมาฟังคำพิพากษา

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงการทำหน้าที่เสนอข่าวสารและ ข้อเท็จจริงของสื่อสารมวลชนตามข้อมูลความเป็นจริงที่เกี่ยวกับโจทก์ และตามความเคลือบ แคลงสงสัยต่อความเหมาะสมในการทำหน้าที่และดุลยพินิจของโจทก์ ที่จำเลยที่ 1 ติชม วิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำที่ประชดประชัน เสียดสีอย่างไม่สุภาพเท่านั้น

พยานหลักฐานโจทก์ตามที่นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาประสงค์ให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย การติชมวิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำที่ประชดประชัน เสียดสีของจำเลยที่ 1 แม้จะใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ แต่ยังอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายที่ถือว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นของสื่อสารมวลชนโดยสุจริตและเป็นการติชม วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนที่ย่อมกระทำได้

การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทและความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังนายสนธิ กล่าวเพียงว่า ศาลพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.อ.สมยศ ฟ้องหมิ่นประมาท โดยตนสู้คดีด้วยหลักฐาน ความจริง และมีพยานมายืนยันข้อเท็จจริงทุกคดี ซึ่งพอใจผลคำพิพากษา เพราะชนะคดีก็ต้องพอใจ ยืนยันว่าไม่ใช่คดีแรกในชีวิต ตนเองทำงานสื่อมวลชนมา 50 ปี มีคดีทั้งหมด 246 คดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันเสาร์ที่ 28 มิ.ย.นี้ จะไปขึ้นเวทีปราศรัยหรือไม่

นายสนธิ กล่าวว่า ไปแน่นอน และให้สื่อมวลชนคอยฟังให้ดี เพราะตนจะมีทีเด็ดในการพูดบนเวทีการชุมนุมแน่นอน โดยการชุมนุมจะเริ่มตั้งแต่ บ่าย 3 โมงเย็น ถึงเวลา 2 ทุ่มของวันเสาร์

เมื่อถามว่า การพูดทีเด็ดบนเวที จะทำให้รัฐบาลสะเทือนหรือไม่ นายสนธิกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลชุดนี้พูดอะไรไปก็ไม่สะเทือนหรอก"

ด้านน.ส.อัจฉรา แสงขาว ทนายความ เปิดเผยว่า ถ้อยคำที่นายสนธิ พูดถึง พล.ต.อ.สมยศ เข้าไปช่วยเหลือคดีของนายวรยุทธนั้น ศาลวินิจฉัยว่า มีการแจ้งคดีพล.ต.อ.สมยศอยู่ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง แม้ศาลชั้นต้นยกฟ้องแต่ก็ยังมีการอุทธรณ์ และมีความเห็นแย้งของอธิบดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอยู่ ส่วนประเด็นเรื่องตั้งเงินเดือนตัวเองนั้นมีการตีความของกฤษฎีกาแล้วว่าการขึ้นเงินเดือนของ พล.ต.อ.สมยศ ไม่เป็นไปตามข้อบังคับ และผิดพ.ร.บ.การกีฬา แม้เจ้าตัวจะไม่รับเงินเดือนของตนเอง แต่ปรากฎว่าตัวแทนของนายกสมาคมฟุตบอลคนก่อนอย่างนายวรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยและน.ส.นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน มาเบิกความว่า การดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลเป็นการทำงานเพื่อชาติ และไม่มีใครขอขึ้นเงินเดือนอยู่แล้ว ส่วนประเด็นเรื่องตำรวจไซด์ไลน์ นั้น พล.ต.อ สมยศ ก็เคยออกให้สัมภาษณ์ยอมรับประเด็นนี้ไปแล้ว

ส่วนเรื่องการฮั้วประมูลและเรื่องลิขสิทธิ์ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก นั้นปรากฎว่าเกิดขึ้นในยุคของเจ้าตัวจนทำให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเสียหาย รวมถึงการวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องลำดับขั้นของฟุตบอลไทยลีกที่ในยุคของพล.ต.อ.สมยศ ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย อันดับฟีฟ่าของฟุตบอลทีมชาติไทย อยู่อันดับที่ 113 ต่อมาจนถึงยุคของน.ส.นวลพรรณ ก็ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 96 ซึ่งก็เป็นข้อเท็จจริงโดยคำวิจารณ์ของนายสนธิกับเรื่องเหล่านี้อาจจะมีคำพูดไม่สุภาพไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นหมิ่นประมาท

ส่วนประเด็นยุคที่พล.ต.อ.สมยศ เป็นนายกสมาคมฯ สมาคมฟุตบอลมีหนี้สิน 300 ล้านบาท แล้วต้องไปกู้เงินจากฟีฟ่า 5,000,000 เหรียญ อีกทั้งพล.ต.อ.สมยศเคยกู้ยืมเงินนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ 300 ล้านบาท ซึ่งเจ้าตัวก็เบิกความยอมรับในข้อเท็จจริง ว่าเคยยืมเงินสูงสุดถึง 1 พันล้านบาท โดยไม่มีการทำสัญญา ดังนั้นการที่จำเลยพูดวิพากษ์วิจารณ์ เป็นการติชมโดยสุจริต พูดในข้อเท็จจริง พร้อมย้ำว่าแม้จะมีคำที่ไม่สุภาพไปบ้างแต่ไม่ถึงขั้นหมิ่นประมาท ทำให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
กำลังโหลดความคิดเห็น