MGR Online - อธิบดีดีเอสไอ เผยบูรณาการเข้าตรวจค้น 5 จุด กทม.-สมุทรปราการ ยึดอายัดวัตถุอันตราย 1.8 ล้านลิตร ลอบส่งผลิตยาเสพติดประเทศเมียนมา
วันนี้ (20 มิ.ย.) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรองชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคารเอ) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อม น.ส.กรรณิการ์ สุทธพจนารักษ์ นักนิติวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ , ว่าที่ ร.ต.ยงยุทธ ภูมิประเทศ รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต กรมสรรพสามิต , นายสุนทร แก้วสว่าง รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม , พ.ต.อ.โชคชัย วระศาสตร์ ผกก.2 บก.ปส.1 และ นายสุวิทย์ สิงห์อยู่ ผู้อำนวยการส่วนอำนวยการบังคับใช้กฎหมาย สำนักงาน ป.ป.ส ภาค 6 ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจค้นยึดอายัดวัตถุอันตรายกว่า 1,800,000 ลิตร ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
พ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจห้วยยะอุ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้ตรวจยึดรถบรรทุกสารเคมีอะซีโตน (Acetone) จำนวน 2 คัน ซึ่งเป็นสารเคมีควบคุมประเภท 3 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 ลำดับ 367 โดยเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดได้ จำนวน 80 แกลลอน น้ำหนัก 12.8 ตัน เมื่อวันที่ 19 - 20 ก.ย.67 ต่อมา กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ขับรถบรรทุก 2 คนๆ ละคัน ในความผิดฐาน “มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต” แล้ว
พ.ต.ต.ยุทธนา เผยว่า เจ้าหน้าที่ทำการสืบสวนขยายผลทราบว่ารถบรรทุกที่ตรวจยึดได้ดังกล่าว รับสินค้ามาจาก 2 โกดังของบริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ และ แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพฯ ซึ่งซื้อวัตถุอันตรายจากบริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ เพื่อไปส่งยังท่าข้าม 28 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลักลอบข้ามแดนไปยังประเทศเมียนมา (พื้นที่เขตอิทธิพลของกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย DKBA) จึงบูรณาการตรวจค้น 5 จุด ที่อาจมีความเชื่อมโยงกัน และอาจเข้าข่ายกระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออก และครอบครองวัตถุอันตรายที่ต้องควบคุมตามกฎหมาย โดยมิได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่มีอำนาจ
พ.ต.ต.ยุทธนา เผยอีกว่า จากการตรวจค้น จุดที่ 1 โรงงานขนาดใหญ่ ต.เสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ พบเป็นสถานที่จัดเก็บและแบ่งบรรจุสารเคมี ตรวจสอบพบเครื่องจักรปั๊มสูญญากาศ และวัตถุอันตราย สารโทลูอีน 119.6 ตัน สารอะซิโตน 15.2 ตัน และสารเคมีอันตรายอื่น ๆ อีกหลายรายการ รวม 22.99 ตัน พร้อมด้วยเอกสารบัญชีรับเข้า - ส่งออกสารเคมี เอกสารประกอบการส่งออก และบัญชีรายการ Stock สินค้าอีกจำนวนมาก
พ.ต.ต.ยุทธนา เผยต่อว่า จุดที่ 2 โกดังสินค้า ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ พบวัตถุอันตราย สารเมทลีน คลอไร (ชนิดที่ 1) รวม 264.2 ตัน สารเอทิล อะซิเตด (ชนิดที่ 1) รวม 377 ตัน สารอะซิโตน (ชนิดที่ 3) รวม 32 ตัน สารไตร คลอโร เอททีลีน (ชนิดที่ 3) รวม 28.4 ตัน นอกจากนั้น ยังพบสารละลายไฮโดคาร์บอน (โซเว้น) White oil จำนวน 530,445 ลิตร Cylene 28,900 ลิตร รวมสารละลายทั้งสิ้น 559.345 ตัน
"จุดที่ 3 สำนักงานและโกดังสินค้า แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพฯ พบวัตถุอันตราย สารอะซิโตน (ชนิดที่ 3) จำนวน 57 ตัน และสารเคมีต้องสงสัย 88 ถัง ประมาณ 17,600 ลิตร และพบเอกสารทางการเงินและบัญชีที่อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออก และครอบครองวัตถุอันตรายโดยมิได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่มีอำนาจ"
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวเสริมว่า ส่วนจุดที่ 4 และจุดที่ 5 เป็นสำนักงานออฟฟิศและบ้านพักเจ้าของโกดัง ย่าน จ.สมุทรปราการ พบเอกสารบัญชีที่อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด รวมสารเคมีที่ตรวจพบทั้งสิ้นกว่า 1.8 ล้านลิตร หรือกว่า 1,800 ตัน
ด้าน นายสุนทร ระบุว่า การตรวจค้นผู้ประกอบการไม่สามารถแสดงใบอนุญาตครอบครองวัตถุอันตราย ตามบัญชี 5.1 ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม รับผิดชอบตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่งสารบางชนิดเป็นสารเคมีวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายพ.ศ. 2556 บัญชี 5.1 รายชื่อสารควบคุม ซึ่งการผลิต นำเข้า ส่งออก การนำผ่าน และมีไว้ในครอบครอง ซึ่งวัตถุอันตรายดังกล่าวต้องขออนุญาตกับพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ขออนุญาตจะมีความผิด
"ทั้งนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันทำการยึดอายัดพร้อมเก็บตัวอย่างสารเคมีและวัตถุต้องสงสัยเพื่อนำไปตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์และดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายแห่ง พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ประกาศกระทรวงยุติธรรม เรื่อง กำหนดชื่อสารเคมี พื้นที่ควบคุม และหน้าที่ของผู้ทำธุรกรรมภายใต้มาตรการป้องกันการลักลอบนำสารเคมี วัสดุ หรือเครื่องมือบางประเภทไปใช้ผลิตยาเสพติด พ.ศ. 2559 และ พ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ. 2560 อย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีการกระทำผิดจริง"
ขณะที่ นายสุวิทย์ เผยว่า จากการสอบสวนเจ้าของบริษัทจำหน่ายวัตถุอันตรายและเจ้าของโกดังให้การว่าเป็นเพียงคู่ค้าทางธุรกิจกัน ซึ่งสารตั้งต้นดังกล่าวจะใช้ในภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก และไม่รู้จักกับ 2 คนขับรถบรรทุกที่ถูกจับกุม ส่วนจะมีผู้ค้ารายอื่นนำไปใช้ในการผลิตยาเสพติดอยู่ระหว่างตรวจสอบขยายผลและเส้นทางการเงิน นอกจากนี้ ตรวจสอบพบว่าเคยมีการสั่งซื้อใช้ชื่อผู้เสียชีวิตเพื่อส่งสารตั้งต้นไปประเทศเมียนมา อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในครั้งนี้เป็นการป้องกันและปราบปรามเกี่ยวกับวัตถุอันตรายที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน ที่ลักลอบนำสารตั้งต้นไปใช้ผลิตยาเสพติด